จากการจลาจล สู่ขบวนพาเหรด Pride Month ย้ำเตือนสิทธิ์ที่ชาว LGBTQ+ ควรได้รับ
แม้การยอมรับในความหลากหลายทางเพศของทุกวันนี้จะมีมากขึ้นกว่าหลายสิบปีก่อนหน้านี้อยู่มากโข แต่ก็แน่นอนว่าการเปิดกว้างและอ้าแขนรับเหล่าชาว LGBTQ+ คงยังไปไม่ถึงทุกพื้นที่ทั่วโลก ทำให้เราได้เห็นปรากฏการณ์ Pride Month และขบวนพาเหรดที่เหล่าผู้คนล้วนรวมใจกันทั้งออกมาเฉลิมฉลองและต่อสู้ให้กับสิทธิขั้นพื้นฐานเท่าที่มนุษย์ทุกคนบนโลกพึงได้รับ
Getty Images
ย้อนกลับไปในช่วงยุค 70s การเปิดเผยถึงเพศสภาพที่แตกต่างไปจากความรักของชายหญิงเป็นสิ่งต้องห้าม หลายครั้งที่ผู้คนเพศทางเลือกต่างถูกตราหน้าจากการมีความรักที่ต่างไปจากสังคมตีกรอบหรือขนบธรรมเนียมเดิม ว่าชายต้องคู่กับหญิง และสิ่งนี้คือความถูกต้องเพียงสิ่งเดียวที่ควรจะเป็น ทำให้ชาว LGBTQ+ ในยุคนั้นต้องปกปิดซ่อนเร้นตัวตนเพื่อให้การอยู่ร่วมในสังคมเป็นปกติสุขมากที่สุดมากเท่าที่เป็นได้ และนอกเหนือจากการไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมแล้ว ชาว LGBTQ+ ยังถูกตัดสินว่าเป็นเพียงผู้มีความผิดปกติทางจิต และจะถูกตัดสินว่ามีความผิดทางกฎหมายในทันที นั่นคงเป็นเรื่องน่าเศร้ามากพอที่จะผลักดันให้เกิดปัญหาลุกลามได้ไม่ยาก
สู่เหตุการณ์สะเทือนใจ
บาดแผลเหล่านั้นบาดลึกและก่อตัวอยู่ในใจของผู้คนที่มีเพศสภาพผิดแปลกจากที่สังคมกำหนดมาเป็นเวลาเนิ่นนาน นานพอจะก่อให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ ณ ใจกลางมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อย่างการจลาจล Stonewall Riots ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 28 มิถุนายน 1969 บาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งอย่าง Stonewall Inn เป็นสถานที่ๆ ผู้คนชาว LGBTQ+ มารวมตัวกันเพื่อแสดงความเป็นตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำได้ในโลกภายนอกสถานที่เล็กๆแห่งนี้เปรียบเสมือนประตูบานลับที่พวกเขาใช้เพื่อเปิดเผยตัวตนกับผู้คนที่พร้อมจะเปิดกว้างและอ้าแขนยอมรับกันและกันแต่แล้วค่ำคืนที่เคยเป็นดั่งความสุขของการสังสรรค์ได้จบลงด้วยการบุกเข้าจับกุมของตำรวจนิวยอร์กจนกระทั่งเกิดการปะทะกันอย่างยาวนาน
เหตุการนั้นลุกลามเกินกว่าจะเป็นการเข้าจับกุมเหล่าชาว LGBTQ+ แต่เลยเถิดไปจนกลายเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่มีชาว LGBTQ+ และรวมไปถึงเหล่าผู้คนที่กล้าจะออกมายอมรับถึงความแตกต่างและความหลากหลายทางเพศ ประชาชนมากมายแห่แหนกันมาร่วมเดินขบวนเพื่อต่อต้านความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุในครั้งนั้น ซึ่งได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล
การเปลี่ยนแปลงตลอดกาล
ในปี 1970 ผู้คนในสหรัฐอเมริกาต่างพากันออกมาร่วมเดินขบวนเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์การจลาจล Stonewall Riots และเพื่อแสดงจุดยืนเพื่อความเท่าเทียมกันของทุกเพศสภาพในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ควรได้รับ ไม่ว่าเราทุกคนจะมีความชอบและความแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองและยืนหยัดเพื่อความเท่าเทียมและสิทธิที่พวกเขาพึงได้รับในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง จึงกลายมาเป็นเดือนแห่งการร่วมเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลายทางเพศหรือ Pride Month ที่ไม่ได้มีความหมายเพื่อการเฉลิมฉลองเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการร่วมออกมาเรียกร้องสิทธิ์พึงมีให้กับเหล่าชาว LGBTQ+ และรำลึกถึงเหตุการณ์เพื่อตอกย้ำความเจ็บปวดและสูญเสียในครั้งนั้น
วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 2000 สู่ยุคของประธานาธิบดี Bill Clinton ผู้ออกมาเปลี่ยนแปลงและสร้างบทบาทสำคัญให้แก่ชาว LGBTQ+ ด้วยการประกาศให้เดือนมิถุนายนของทุกปีเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาวเกย์และเลสเบี้ยน Gay and lesbian Pride Month และส่งไม้ต่อให้ประธานาธิบดีคนต่อไปผู้ครองตำแหน่งในปี 2009 อย่าง Barack Obama ออกมาประกาศให้เดือนมิถุนายนเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจของผู้คนที่มีความหลากหลายทางเพศ (Lesbian, Gay, Bisexual, and Transgender Pride Month) เพื่อสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความแตกต่างกันอย่างไร้คำจำกัดเพศ
ธงสีรุ้งโบกสะบัดพร้อมกันทุกแห่งหน
และการร่วมแสดงออกที่ว่าก็คือการโบกสะบัดธงสีรุ้งที่ถูกออกแบบโดยศิลปินนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกันอย่าง Gilbert Baker ที่เคยออกมาประกาศตัวว่าเขาเองคือหนึ่งในชาว LGBTQ+ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเดิมทีแล้วธงสีรุ้งที่เราเห็นกันนั้นมีทั้งหมด 8 สี แต่ไม่นานก็มีการตัดสีชมพูและสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ออก ทำให้ปัจจุบันธงสีรุ้งเหลือเพียง 6 สีอย่างทุกวันนี้ โดยแต่ละสีก็ประกอบไปด้วยความหมายที่แตกต่างกัน เช่น โดยสีแดงให้ความหมายถึง ชีวิต, สีส้มหมายถึงการเยียวยา, สีเหลือง หมายถึงแสงแห่งความหวัง, สีเขียว เปรียบเสมือนธรรมชาติ, สีฟ้าหมายถึงศิลปะ และสีม่วงมีความหมายถึงจิตวิญญาณ เป็นตัวแทนของความหลากหลายที่อยู่รวมกัน