“แผลเป็น” หลังผ่าตัดศัลยกรรมและผ่าตัดใหญ่ ดูแลอย่างไรให้รอยแผลเป็นจางลง
ปัจจุบันการทำศัลยกรรมเสริมความงามกลายเป็นเรื่องปกติ มุมมองต่อการทำศัลยกรรมของคนยุคนี้เห็นตรงกันว่าเป็นการทำเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ แสดงถึงการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง และเป็นสิทธิส่วนบุคคล สังคมจึงมองกลุ่มคนทำศัลยกรรมในแง่บวก อีกทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย ทำให้การทำศัลยกรรมมีความปลอดภัยมากขึ้น ความนิยมก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ปัญหากวนใจที่ทำให้สาวๆ หลายคนต้องกลุ้มใจหลังจากผ่าตัดศัลยกรรมหรือแม้แต่การผ่าตัดใหญ่คงหนีไม่พ้นเรื่อง “รอยแผลเป็น”
รอยแผลเป็นเกิดจากอะไร
โดยปกติแล้ว เมื่อผิวของเราได้รับบาดเจ็บจะเกิดแผลขึ้น ถ้าการบาดเจ็บนั้นเป็นแค่รอยถลอก บาดแผลจะค่อยๆ จางหายไป แต่ในกรณีที่แผลเกิดบริเวณผิวหนังชั้นลึกลงไปหรือชั้นหนังแท้ อย่างในกรณีของการผ่าตัดศัลยกรรมและการผ่าตัดใหญ่ โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นก็มีมากขึ้น
นั่นเป็นเพราะร่างกายของเราเกิดกระบวนการการซ่อมแซมบาดแผลตามธรรมชาติ เริ่มจากการสร้างลิ่มเลือดเพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัวและปิดบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้น ไฟโบรบลาสต์เซลล์ (Fibroblast Cells) ที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis) จะสร้าง Extracellular Matrix หรือ ECM ซึ่งมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบออกมา เพื่อเตรียมสร้างเนื้อเยื่อเติมเต็มส่วนที่หายไปจากการบาดเจ็บ
แต่ในกรณีของบาดแผลที่เกิดจากการศัลยกรรมและการผ่าตัดใหญ่ มักจะเป็นบาดแผลลึกจึงมีโอกาสไปรบกวนการเรียงตัวของ ECM จากเดิมที่มีการจัดเรียงแบบเส้นใยถักทอสานกันก็จะเปลี่ยนเป็นการจัดเรียงไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งลดความทนทานและยืดหยุ่นของผิวหนังบริเวณนั้นลงไป ทำให้การจัดเรียงโครงสร้างของผิวหนังไม่ดีจนอาจกลายเป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูนหนาและใหญ่เกินบริเวณที่เกิดแผลได้
โดยมากแล้ว แผลเป็นที่เกิดจากการศัลยกรรมและการผ่าตัดใหญ่ มักจะมีลักษณะเป็นแผลเป็นนูนแบบคีลอยด์ (Keloid Scars) มีลักษณะโป่งนูนออกมาบนผิวหนังและยังขยายพื้นที่ออกไปรอบ ๆ เนื่องจากไฟโบรบลาสต์เซลล์มีการสร้างคอลลาเจนเพื่อสร้างเนื้อเยื่อมากเกินไป บริเวณแผลเป็นจะเป็นสีชมพูหรือสีเข้มกว่าผิวหนังบริเวณรอบ ๆ
อีกลักษณะหนึ่งคือแผลเป็นแบบไฮเปอร์โทรฟิก (Hypertrophic Scars) มีลักษณะโป่งนูนออกมาบนผิวหนัง มีสีชมพูหรือสีแดง คล้ายกับแผลเป็นแบบคีลอยด์ แต่จะไม่ขยายวงกว้างออกไปนอกบาดแผล
รักษารอยแผลเป็นให้จางลงได้อย่างไร
ปัจจัยที่อาจส่งผลให้แต่ละคนเกิดรอยแผลเป็นหลังการผ่าตัดศัลยกรรมและผ่าตัดใหญ่มากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับอายุ เพราะอย่างที่ทราบกันดี ผิวของคนอายุมากมีแนวโน้มที่จะมีคอลลาเจนน้อยลง ส่งผลให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ช้า หรือบริเวณที่เกิดบาดแผล เช่น เข่าหรือข้อพับต่างๆ ที่มีการเสียดสีบ่อย โอกาสเกิดแผลเป็นหรือแผลหายช้ากว่าปกติก็มีมาก รวมไปถึงสีผิวและระดับฮอร์โมนในร่างกายก็มีส่วนทำให้แผลเป็นมีสีคล้ำกว่าปกติ
วิธีรักษาในปัจจุบันก็มีหลากหลาย ตั้งแต่การฉีดยาในกลุ่มสเตียรอยด์เพื่อให้แผลเป็นยุบและจางลง การฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล, คอลลาเจน, ไบโอพลาสติก, และฟิลเลอร์ เข้าไปในบริเวณใต้แผล ไปจนถึงการปรับสภาพบริเวณพื้นผิวของผิวหนังด้วยการใช้เลเซอร์ การกรอผิว หรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)
แต่ยังมีอีกวิธีที่ปลอดภัยและเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยแผลเป็นให้จางลงอย่าง “รีแบคซิลิโคนเจล” สูตร Triple Composition ซึ่งมี 3 ส่วนประกอบหลักสำคัญ ได้แก่
- ผลิตด้วยซิลิโคนเกรดที่ใช้ทางการแพทย์จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งตามหลักทางการแพทย์จะแนะนำให้ใช้ซิลิโคนเจลเป็นอันดับแรกในการดูแลแผลเป็นจากการผ่าตัดหลังจากที่แผลแห้งปิดสนิทดีแล้ว เช่น แผลศัลยกรรมความงาม แผลผ่าคลอด หรือแผลจากศัลยกรรมอุบัติเหตุ
- มีเบคูแซน (Baycusan) ซึ่งเป็นสารก่อฟิล์มทำให้ได้คุณสมบัติความเป็นฟิล์มฟอร์มเมอร์ (FILM-FORMER) เมื่อทารีแบคซิลิโคนเจลลงบนแผลเป็น เนื้อเจลจะก่อตัวเป็นแผ่นฟิล์มทำหน้าที่เคลือบคลุมแผลได้บริเวณกว้าง ช่วยป้องกันแผลจากน้ำและฝุ่นละออง
- รีแบคซิลิโคนเจล มีสารสกัดจากหัวหอม (Allium Cepa) และสารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica)
สามารถใช้รีแบคซิลิโคนเจลหลังจากแผลแห้งปิดสนิทใหม่ๆ หรือหลังการตัดไหม โดยใช้เป็นประจำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ควรทำความสะอาดบริเวณรอยแผลเป็นให้สะอาดแล้วซับให้แห้ง บีบรีแบคซิลิโคนเจลลงบนนิ้วขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวแล้วเกลี่ยเบาๆ ให้เนื้อเจลเคลือบทั่วรอยแผลเป็นบางๆ ไม่ต้องถูนวดแรงๆ ถ้าสังเกตเห็นว่ารอยแผลลดเลือนหรือจางลงก็สามารถใช้รีแบคซิลิโคนเจลต่อเนื่องได้ตามต้องการ
รีแบคซิลิโคนเจล มีให้เลือกขนาด 5 กรัม และ 15 กรัม
สามารถสั่งซื้อ หรือสอบถามจุดจำหน่ายได้ที่ Line Official: https://bit.ly/3Ibo1Pc
เว็บไซต์: www.biopharmshop.com
เฟสบุ๊ค: https://www.facebook.com/rebacsiliconegel
*ข้อควรระวัง คือ ใช้ภายนอกกับแผลที่ปิดสนิทแล้วเท่านั้น ห้ามใช้รีแบคกับแผลเปิด, เนื้อเยื่ออ่อน, บริเวณเยื่อเมือกและบริเวณใกล้ดวงตา จะทำให้อักเสบหรือติดเชื้อได้, หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาทาภายนอกชนิดอื่นๆ และหากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ จากการใช้ผลิตภัณฑ์ ให้หยุดใช้ทันทีแล้วปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์
*ใบอนุญาตโฆษณาเลขที่ ฆพ.1372/2565
[Advertorial]