ไม่ใช่เป้าหมายที่น่าดึงดูด! กับ 5 เหตุผลที่ปฏิเสธการแต่งงาน

ไม่ใช่เป้าหมายที่น่าดึงดูด! กับ 5 เหตุผลที่ปฏิเสธการแต่งงาน

ไม่ใช่เป้าหมายที่น่าดึงดูด! กับ 5 เหตุผลที่ปฏิเสธการแต่งงาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มีคนจำนวนไม่น้อยที่วางเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของตัวเอง ในแบบที่เรียกว่าชีวิตนี้ฉัน complete แล้วไว้กับการแต่งงานกับคนดี ๆ สักคน สร้างครอบครัวที่น่ารักไปด้วยกัน และอยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสุข ส่วนใหญ่แล้วฝันที่คนเราวาดขึ้นมาก็คงออกมาเป็นรูปแบบนั้นแหละ จะมีสักกี่คนกันที่คิดเอาเรื่องของการหย่าร้างหรือเป็นม่ายวาดลงไปเป็นส่วนหนึ่งของความฝันที่สวยงามนั้นล่ะ การหย่าร้างหรือการเป็นม่ายน่ะ เป็นความอัปมงคลสำหรับชีวิตแต่งงาน

ในอีกทางหนึ่ง ชีวิต complete เพราะการแต่งงานน่ะ กลับเป็นเรื่องที่หนุ่มสาวยุคใหม่หลายคนมองว่าไร้สาระเสียแล้ว เพราะพวกเขารู้สึกว่าชีวิตคนเราน่ะมันมีอะไรให้ทำตั้งมากมาย แล้วทุกอย่างที่ทำก็สามารถเป็นเป้าหมายที่ทำให้รู้สึกถึงความชีวิต complete ได้หมด เราจะชีวิตให้ complete กับอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจและความปรารถนาของเราเอง และการแต่งงานก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต การแต่งงานมันอาจจะมีข้อดี แต่ข้อดีนั้นก็ไม่ได้ดึงดูดให้อยากแต่งงานสักนิด บางคนจึงถึงขั้นกล้าที่จะปฏิเสธการแต่งงาน แล้วขอเป็นโสดแบบตั้งใจไปเลยดีกว่า


ความอิสระเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
ชีวิตอิสระที่ไม่ต้องมีพันธะหรือผูกมัดติดอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งเนี่ยเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว แบบว่าอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป อยากกินอะไรก็กิน อยากคุยกับใครก็คุย ไม่มีใครมาคอยกำหนดควบคุม ทั้งด้วยคำขอร้องแกมคำสั่งหรือด้วยความเกรงใจก็ตาม หลายคนคบกันไม่ได้มีการขอร้องเรื่องไลฟ์สไตล์ของอีกฝ่ายก็จริง แต่มันถือเป็นการให้เกียรติคนที่กำลังคบกันอยู่มากกว่าว่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี แต่ในขณะเดียวกันเรากลับรู้สึกอึดอัดเสียเองที่ทำอะไรก็ไม่เป็นอิสระเท่าเมื่อก่อน บางคนก็มีพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่อยากจะแบ่งปันให้ใครเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ชอบให้ใครล้ำเส้นด้วย ถ้ายังพอใจที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ หลายคนจึงหวงแหนอิสระจากความโสดมากถึงขั้นไม่ยอมปล่อย


อนาคตที่ไม่แน่นอนมันยากจะควบคุม
ความไม่แน่นอนในอนาคตกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หนุ่มสาวสมัยใหม่เลือกที่จะไม่แต่งงาน หรือวางแผนมีชีวิตอยู่แบบโสด ๆ ไปตลอดชีวิต ทุกวันนี้แค่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อตัวเองคนเดียวก็แดดิ้นแล้ว จึงไม่อยากจะ “หาเหาใส่หัว” อีก การแต่งงานมันมีเรื่องของความรับผิดชอบ ดังนั้น การที่พวกเขารู้สึกเอาแน่เอานอนกับตัวเองไม่ได้ในปัจจุบัน มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจกับอนาคตเข้าไปใหญ่ว่าจะมั่นคงได้มากน้อยแค่ไหน ต่างจากการอยู่ตัวคนเดียว ที่รับผิดชอบแค่ชีวิตของตัวเองก็พอ อาจจะหันหลังกลับไปดูแลพ่อแม่บ้างมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเท่าไร แต่การแต่งงานมีลูกมันเป็นอะไรที่เสี่ยงกว่า ไหนจะถ้าแต่งไปแล้วเกิดมีอันต้องเลิกราหรือหย่าร้างกันอีก มันควบคุมอะไรไม่ได้เลย


ปมในอดีตที่เข็ดขยาด
ความเจ็บปวดและความผิดหวังเป็นสิ่งที่รับมือได้ยาก และกว่าก้าวข้ามผ่านมาได้มันก็ไม่ได้ง่ายเลย เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ที่เคยมีประสบการณ์เลวร้ายแบบนั้นมา ก็อาจไม่อยากที่จะเจอกับมันอีกเป็นครั้งที่สองหรือสามอีกหรอกหากมูฟออนจากครั้งแรกมาได้แล้ว มันจะกลายเป็นเหมือนกับแผลเป็นที่ไม่ได้มีเลือดซึมและไม่ได้เจ็บแสบอะไรอีกต่อไป แต่ก็เห็นได้ชัด ๆ ว่ามันเป็นรอยด่างที่ไม่เรียบเนียนเสมอกับผิวหนังส่วนอื่น ๆ การไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้วไม่ได้แปลว่าลืม ความเจ็บปวดสร้างรอยแผลและอาการเข็ดขยาดจากการฝังใจจำได้ แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เหมารวมว่าคนทุกคนเป็นคนไม่ดีเหมือนกับที่เคยเจอมา พวกเขาแค่แคร์ตัวเองมากจนไม่อยากจะเอาตัวเองไปเสี่ยงเจ็บอีกครั้งมากกว่า


เงิน! เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
การมีชีวิตอยู่ทุกลมหายใจน่ะมันจำเป็นต้องใช้เงินทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าไม่ดิ้นรนหาเพิ่มมันก็มีแต่จะอดตายเข้าสักวัน การมีความรักก็เช่นกัน ความรักระดับดีหน่อยก็จำเป็นต้องใช้เงิน ยังไม่ต้องนึกไปถึงขั้นตอนของการแต่งงานและมีลูกหรอก แค่ไปเดตก็ต้องมีเงินติดตัวแล้ว ในขณะเดียวกัน คนยุคนี้สมัยนี้กลับกำลังเผชิญกับวิกฤติที่เรียกว่า “แค่ตัวเองยังเอาไม่รอด” ใช้ชีวิตคนเดียวก็เหนื่อยพอแรงแล้ว เงินหามาอย่างยากลำบากก็อยากจะเปย์ตัวเองให้หนำใจเสียมากกว่า หลาย ๆ คนก็เลยไม่มีอารมณ์จะไปทำเรื่องโรแมนติกอะไรเท่าไรนักหรอก การวางแผนการเงินของครอบครัวหลังแต่งงานก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนชวนปวดหัว และทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉานได้เลย


ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสำเร็จของชีวิตคู่
ยุคสมัยสร้างโอกาสให้เราสามารถเลือกได้มากกว่าแต่ก่อน ถ้าคิดจะอยู่แบบโสด ๆ ไปตลอดชีวิต มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรในยุคนี้ หรือการมองคนที่ต้องเลิกรากันก็ไม่ได้เป็นมุมลบเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะหากรู้สึกว่าการคบกับคนนี้มันเริ่มไม่ใช่ หรือคบกันไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่เห็นอนาคตร่วมกัน คนสองคนก็สามารถพูดคุยตกลงเรื่องเลิกราแล้วต่างคนต่างไปได้เลย ในกรณีนี้อาจทำให้มีคู่รักหลายคู่ที่จำต้องบอกเลิกกันทั้งที่ยังรักกันมากอยู่ก็เป็นได้ แต่ถ้าคบกันไปแล้วไม่ได้จับมือนำพากันไปสู่จุดที่ดีขึ้น สุดท้ายก็ไปไม่รอด หรือบางคนเติบโตมาในสังคมที่คนรอบตัวไม่ได้ประสบความสำเร็จในการมีความรัก คนกลุ่มนี้ก็คงไม่เห็นความจำเป็นเรื่องการมีคู่เท่าไรนัก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook