ไขข้อข้องใจเรื่องของสเต็มเซลล์ คุ้มจริงหรือเสียเปล่า
ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหนก็ได้ยินแต่คำว่าสเต็มเซลล์เต็มไปหมด ทั้งสรรพคุณและคุณประโยชน์ที่แทบจะเป็นของวิเศษ คือสามารถรักษาได้ทุกโรค แต่ในความเป็นจริงแล้ว สเต็มเซลล์สามารถทำได้ขนาดนั้นจริงหรือ คำถามนี้ ศ. นพ.สุรเดช หงส์อิง ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยด้านโรคเลือด โรคมะเร็งในเด็ก และการปลูกถ่ายไขกระดูกในเด็ก จาก โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จะมาช่วยให้คำตอบให้เราเข้าใจสเต็มเซลล์อย่างถูกต้องและไม่หลงทางกันค่ะ
Q1. มีประเด็นใดบ้างเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ที่คนทั่วไปควรรู้
สิ่งที่เรามักเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสเต็มเซลล์คือ สเต็มเซลล์เหมือนกันหมดและสามารถรักษาได้ทุกโรค โดย สเต็มเซลล์ที่นำมาใช้ได้ในปัจจุบันก็คือ สเต็มเซลล์เม็ดเลือด ใช้สำหรับนำไปรักษาโรคทางโลหิตวิทยาเท่านั้น เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น ซึ่งสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยสเต็มเซลล์ที่มีอยู่ในร่างกายของเรานั่นเอง
คุณหมอสุรเดชอธิบายเพิ่มเติมว่า สเต็มเซลล์แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. สเต็มเซลล์จากตัวอ่อน (Embryonic Stem Cells) คือการดึงเซลล์จากตัวอ่อนอายุไม่เกิน 2 สัปดาห์มาใช้ สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ดีมากคือสามารถพัฒนากลายเป็นเซลล์อวัยวะหรือระบบอะไรก็ได้ในร่างกาย แต่ก็สามารถกลายเป็นเนื้องอกได้ด้วยเช่นกัน เพราะไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะให้กลายเป็นอวัยวะใด ดังนั้นการนำมาใช้ในคนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย และไม่มีผลสำเร็จใดๆยืนยันทั้งสิ้น รวมถึงยังเป็นข้อถกเถียงทางด้านจริยธรรมอยู่
2. สเต็มเซลล์จากตัวโตเต็มวัย (Adult Stem Cells) คือสเต็มเซลล์จากทารกในครรภ์ที่อายุเกิน 2 สัปดาห์แล้ว ไปจนถึงผู้ใหญ่อย่างเราๆ โดยเป็นเซลล์ที่เฉพาะเจาะจงประจำอวัยวะหรือระบบนั้นๆแล้ว เช่น สเต็มเซลล์สมอง สเต็มเซลล์หัวใจ สเต็มเซลล์ปอด สเต็มเซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น ซึ่งหากต้องการจะใช้รักษาอวัยวะใดก็ต้องนำสเต็มเซลล์จากอวัยวะนั้นๆมาใช้
สรุปแล้ว สเต็มเซลล์ที่สามารถนำมารักษาคนไข้ได้และประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับ มีเพียงสเต็มเซลล์เดียวคือ สเต็มเซลล์เม็ดเลือดที่มาจากสเต็มเซลล์ตัวโตเต็มวัย และนำมารักษาโรคทางโลหิตวิทยาได้เท่านั้น
• แต่ก็มีข่าวการนำสเต็มเซลล์เม็ดเลือดไปปลูกถ่ายอวัยวะและใช้รักษาโรคอื่นๆอยู่เสมอ
ในช่วง 20 ปีก่อนหน้านี้ มีการทดลองนำสเต็มเซลล์เม็ดเลือดไปเลี้ยงในหลอดทดลองให้กลายเป็นสเต็มเซลล์อวัยวะอื่นๆ เช่น สมอง หัวใจ เป็นต้น จนประสบผลสำเร็จ จึงเกิดความฮือฮาขึ้นมาว่า สามารถนำสเต็มเซลล์มารักษาอวัยวะที่เสียหายและรักษาทุกโรคได้ แต่คุณหมอให้ข้อสังเกตว่า การทำการทดลองในหลอดทดลองหรือกับสัตว์ เราสามารถกำหนดให้เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่โอกาสที่จะนำมาใช้และประสบความสำเร็จในคนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย และทุกๆอย่างยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองและวิจัยเท่านั้น
• ถ้าอย่างนั้น เราจะสามารถดึงสเต็มเซลล์จากอวัยวะที่ต้องการ มารักษาอวัยวะที่เราเสียไปได้หรือไม่
การจะนำสเต็มเซลล์จากอวัยวะอื่นๆจากตัวโตเต็มวัยนั้น ทำได้ยากมาก เช่น หากเราต้องการสเต็มเซลล์จากสมอง เราก็ต้องเจาะสมอง หากต้องการสเต็มเซลล์จากตับ ก็ต้องเจาะตับ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้มีผู้มาบริจาค หรือแม้แต่การไปดึงสเต็มเซลล์จากทารกที่แท้งในครรภ์ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะผิดหลักจริยธรรม
• ขณะนี้เริ่มมีคนนิยมนำสเต็มเซลล์มาใช้ด้านอื่นๆด้วย เช่น การเสริมความงาม ใช่หรือไม่
นอกจากจะมีการพูดถึงการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรคอย่างเป็นวงกว้างแล้ว ในแวดวงเสริมความงามก็กำลังเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน คุณหมอสุรเดชกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้มีการนำสเต็มเซลล์ไปใช้เรื่องการชะลอความแก่กันมาก บอกว่าฉีดไปแล้วได้ผลดี ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกและจิตใจมากกว่า เพราะไม่มีผลพิสูจน์ใดๆที่ยืนยันได้เลย และที่สำคัญ หมอที่ทำการรักษาก็อาจไม่ไช่หมอที่ทำงานหรือวิจัยด้านนี้โดยตรง แต่กลับใช้
ประโยชน์จากตรงนี้ก็มี
“ส่วนการใช้สเต็มเซลล์จากสัตว์กลับยิ่งให้ผลเสียมากกว่า เพราะในตัวสัตว์จะมีเชื้อโรคอยู่ และเซลล์ใดก็ตามที่ไม่ใช่เซลล์ของเรา เมื่อฉีดเข้าไปแล้วร่างกายจะเกิดปฏิกริยาต่อต้าน หากร่างกายของเรารับสารแปลกปลอมเข้าเรื่อยๆ ก็จะมีโอกาสเกิดโรคร้ายแรงในอนาคตได้ เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง เป็นต้น”
ดังนั้นหากมีการโฆษณาใดๆที่บอกว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค จึงถือว่าเป็นการโฆษณาที่เกินจริงทั้งสิ้น ในฐานะผู้บริโภค จึงควรต้องศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจ และพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองไม่ให้ไปตกที่ผู้อื่น
Q2. ที่มีการพูดถึงการเก็บสเต็มเซลล์คืออะไรคะ เช่น เก็บไว้ให้ลูก เก็บไว้รักษาตัวเอง
การเก็บสเต็มเซลล์เพื่อเอาไว้ให้ลูกหรือตัวเองใช้รักษาโรค ก็คือการเก็บจากเลือดนั่นเอง อย่างที่คุณหมออธิบายมาแล้วว่า สเต็มเซลล์เม็ดเลือด ก็ต้องกลายเป็นเม็ดเลือด ไม่เหมาะไปรักษาอวัยวะอื่นๆ ดังนั้นการเก็บเพื่อให้ตัวเองหรือลูกจึงไม่มีประโยชน์ เพราะโอกาสจะเอาไปใช้น้อยมาก คุณหมอสุรเดชจึงยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆว่า
“สมมติว่าลูกของเราเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว การจะนำสเต็มเซลล์ของลูกมาใช้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวคือต้องปลูกถ่ายเซลล์คนอื่นมากินเซลล์มะเร็งของตัวเอง อีกทั้งเด็กทุกคนที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เมื่อเอาเลือดจากรกไปตรวจดู ก็จะพบเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวตั้งแต่เด็กๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่จะเอาเลือดตัวเองมารักษาได้ และถึงแม้ตอนนี้ทั่วโลกจะการเก็บสเต็มเซลล์กันอยู่ แต่ถามว่าตอนนี้มีโอกาสได้ใช้หรือไม่ คำตอบคือยังไม่มีเลย”
Q3. ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภค ควรพิจารณาเรื่องการเก็บสเต็มเซลล์อย่างไรบ้าง
การเก็บสเต็มเซลล์จากรกหรือจากสายสะดือนั้น ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคเราควรพิจารณาให้รอบด้าน เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ศึกษาข้อมูลให้ดีๆ สอบถามรายละเอียดต่างๆให้ชัดเจน และรู้จุดประสงค์ของการเก็บ เพราะสุดท้ายเลือดจากสายสะดือหรือรกที่เก็บไปนั้นเป็นการเก็บเพื่อรักษาคนอื่น ไม่ใช่ของตัวเอง
คุณหมอสุรเดชกล่าวสรุปปิดท้ายว่า “หากมีเงินพอที่จะเก็บก็สามารถเก็บได้ ถือว่าเป็นการซื้องานวิจัยในอนาคต เพียงแต่ ณ ปัจจุบันยังไม่ถึงเวลา ส่วนใครที่ถึงกับต้องกู้หนี้ยืมสินนั้น อาจทำให้เกิดปัญหาได้ อีกอย่างหนึ่ง ในอีก 10-20 ปี ข้างหน้านี้ เราก็อาจมีวิทยาการใหม่ๆที่ง่ายกว่า สะดวกกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้แล้วก็เป็นได้”
ภาพประกอบจาก http://www.thinkstockphotos.com/