2 พี่น้อง โบนันซ่า เดินตามฝันบนถนนสาย แฟชั่น

2 พี่น้อง โบนันซ่า เดินตามฝันบนถนนสาย แฟชั่น

2 พี่น้อง โบนันซ่า เดินตามฝันบนถนนสาย แฟชั่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ Hello เซเลบ

เอ่ยถึงนามสกุล "เตชะณรงค์" เชื่อว่าแวบแรกที่ทุกคนจะคิดถึง คงไม่พ้น "เจ้าของโบนันซ่า" เขาใหญ่ เป็นแน่

แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของพี่น้องสองสาวสวยอย่าง เมย์ ไพพรรณี เตชะณรงค์ ในวัย 28 ปี และ แจน พัทธมน เตชะณรงค์ ในวัย 27 ปี ลูกสาวคนที่ 2 และ 3 ของ ไพวงษ์ ภัสสรา เตชะณรงค์ และน้องสาวของ สงกรานต์ เตชะณรงค์ ที่เลือกจะสานต่อความฝันของทั้งคู่ทางด้าน "แฟชั่น" กับแบรนด์ของตัวเองอย่าง "Commit a sin" ที่ตั้งใจให้เป็นทางเลือกใหม่ของคนรักแฟชั่นในประเทศไทย

เมย์-แจน

จุดเริ่มต้นความฝันของทั้งคู่ เกิดขึ้นเพราะเติบโตมามีคุณพ่อคุณแม่สุดจี๊ด ที่แจนและเมย์บอกว่า "แต่งตัวเก่งมาก ตั้งแต่เล็กมาก็เห็นคุณพ่อชอบแต่งตัว แถมมีเซนส์ทางแฟชั่น ใส่อะไรก็ดูดีดูเก๋" จึงเป็นที่มาให้ทั้งคู่รักและชื่นชอบแฟชั่นไปในตัว

และดูเหมือนว่าน้องสาวอย่างพัทธมน จะค้นพบตัวตนได้ก่อน ด้วยเริ่มรู้สึกรักที่ได้สัมผัส ได้ดมกลิ่นผ้า ตั้งแต่ประถมก็เริ่มชอบวิชาเย็บปักถักร้อย ปักครอสติชทำกระเป๋า หรือผ้าพันคอมาตลอด ขณะที่พี่สาวไพพรรณีกลับชอบที่จะเป็นศิลปิน ชอบวาดรูปเป็นส่วนใหญ่

แม้ทั้งคู่จะโตมาท่ามกลางบรรยากาศบนภูเขา ได้ปีนป่าย ได้ขี่ม้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่เบนความสนใจออกห่างจากแฟชั่น

หลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบมัธยมปลายที่นิวซีแลนด์แล้ว เมย์ไปเรียนต่อด้านอินทีเรียร์ ดีไซน์ ที่ Chelsea College of Arts & Design ประเทศอังกฤษ ก่อนจะกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว ด้วยการเข้ามาดูแลโปรเจ็กต์สวนสัตว์ โบนันซ่า เอ็กโซติก ซู อย่างเต็มตัว

ขณะที่แจนเลือกจะกลับมาเรียนต่อที่สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามความฝันของคุณพ่อคุณแม่ จนกระทั่งปี 4 เธอก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยเมื่อรู้ว่าตัวตนจริงๆ ไม่ได้ชอบวิศวกรรมศาสตร์ และย้ายมาเรียนที่อะคาเดเมีย อิตาเลียนา เพื่อเรียนรู้แฟชั่นจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้น

แต่กว่าจะเลือกตามฝันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อ "เปลี่ยนเส้นทาง" แบบคนละเรื่อง

"เรารู้ว่าพ่อแม่ทุกคนคงอยากให้ลูกทำงานต่อจากท่าน ตอนที่เราคิดจะมาทำเสื้อผ้า ครอบครัวก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ก็พยายามอธิบายว่านี่คือความฝันของเราสองคนนะ กิจการที่บ้านก็คือความฝันของท่าน เราก็จะช่วยสานต่อมันเหมือนกัน แต่เราทั้งคู่ก็มีความฝันของเราจริงๆ เราขอแบ่งเวลาทำสิ่งที่เราฝันและชอบด้วย" เมย์เอ่ยถึงช่วงเวลาที่ต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ

เหตุเพราะทั้งคู่คิดว่าความฝันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

"แจนว่าคนที่ไม่มีความฝันก็จะไม่มีความสุข มนุษย์เราต้องมีความฝันให้ก้าวต่อไป"

"แจนฝันว่าอยากมีร้านเสื้อผ้าของตัวเองมาตลอด ฝันจะได้เห็นคนใส่เสื้อผ้าของเราแล้วมีคนชื่นชม นำสิ่งที่อยู่ในหัวไปอยู่บนตัวคนอื่นได้ มันพิเศษและเป็นความสุข เราจึงเลือกที่จะทำ เพราะแม้คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อมันเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นรูปร่าง ท่านก็เห็นด้วยกับเราอยู่แล้ว เราต้องทุ่มเทให้พวกท่านเห็นมากขึ้น"

เพราะแจนมักเป็นคนเจ้าไอเดีย เลยรับตำแหน่งเป็นดีไซเนอร์และช่างไปในตัว ในขณะที่เมย์รับตำแหน่งควบคุมการผลิต นอกจากนี้ยังได้ที่ปรึกษาส่วนตัวอย่าง แพร-วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา ดีไซเนอร์ชื่อดัง มาช่วยทั้งคู่นับหนึ่งในทุกๆ ด้านแบบเพื่อนสนิท

เหตุผลหนึ่งในการออกแบรนด์เสื้อผ้าตอนนี้ นอกจากเป็นเพราะทั้งคู่พร้อมแล้ว ก็ดูเหมือนตลาดเสื้อผ้าของไทยกำลังเปิดมาก ผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน นอกจากนี้ ดีไซเนอร์ไทยเก่งๆ หลายคน อย่าง ดิษยา และ สเรทซิส ซึ่งปูทางให้กับแบรนด์ดีไซเนอร์ไทยคนอื่นๆ ได้

"คนไทยเก่งมาก คัตติ้งคนไทยเนี้ยบมากๆ เป็นต้นแบบให้เราฝึกฝนและหาแรงบันดาลใจให้มาก ซึ่งเราทั้งคู่ชอบที่จะเดินทางไปเสาะแสวงหาไอเดียจากสถานที่ต่างๆ บางครั้งแค่เราเดินเจอร้านของเก่า แอ๊กเซสซารี หรือร้านเสื้อผ้าเก๋ๆ ในซอกมุม เราก็เหมือนได้รีเฟรช แล้วมีไอเดียทำงานได้" แจนเล่า

นี่เป็นเหตุผลที่คู่พี่น้องดูโอ้มองว่า เสื้อผ้าก็เหมือนการเดินทาง ไว้จดจำและบ่งบอกเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งแบรนด์ของทั้งคู่เป็นรูปร่างขึ้น ก็ถือเป็นการช่วยพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง

"เราแอบดีใจเพราะที่บ้านก็ภูมิใจกับเราเล็กๆ ถึงไม่เคยชมแต่ก็มีเล่าให้เพื่อนฟังบ้าง พ่อเดินมาดูร้านบ้าง ตอนนี้เลยมีคุณแม่พี่แอฟ (ทักษอร) มาเป็นลูกค้านัมเบอร์วันไปแล้ว"

แต่เมื่อเป็นเซเลบริตี้ลูกหลานคนรวยที่มาออกแบบเสื้อผ้าเอง ก็ย่อมมีเสียงพูดกันว่าคงไม่ได้คิดจะจริงจังกับธุรกิจเท่าไหร่ เมย์และแจนก็น้อมรับและขอใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง พร้อมบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า

"เราสองคนพี่น้องไม่เคยทำอะไรเล่นๆ อยู่แล้ว จะทำอะไรต้องจริงจัง เราไม่รู้ว่าหลายคนจะคิดอย่างไร แต่แฟชั่นและเสื้อผ้าเป็นความรักของเรา ก็ได้แต่ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์"

เพราะผู้หญิงมีกิเลส

Commit a sin เกิดขึ้นจากไอเดียของพัทธมนที่ว่า การที่ผู้หญิงแต่ละคนชอบแต่งตัวหรือชอบเสื้อผ้า แอ๊กเซสซารีต่างๆ ล้วนมาจากกิเลส ความอยากได้ ที่เป็นบาปอย่างหนึ่ง โลโก้ของแบรนด์จึงออกมาเป็นต้นแอปเปิลของอีฟ จุดแรกเริ่มของ "บาป" ในมนุษย์

สำหรับคอลเล็กชั่นแรกของทั้งคู่ใช้ชื่อว่า Guilty Pressure เป็นแรงกระตุ้นแห่งความรู้สึกผิดของผู้หญิงทุกคน สื่อออกมาผ่านอัญมณีและดอกไม้ โดยแบ่งออกเป็นสองแนว ผ่านไลฟ์สไตล์ของสองสาว ทั้งเสื้อผ้าเท่ๆ เน้นคัตติ้งเนี้ยบ แบบแจน หรือแบบสาวหวานซ่อนเปรี้ยว ขอโชว์ผิวเล็กๆ อย่างเมย์เป็นอีกหนึ่งสีสันรับซัมเมอร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook