ของ 8 อย่างในบ้าน ที่จะทำให้คุณป่วยได้โดยไม่รู้ตัว
ถ้าพูดถึงวัสดุที่เป็นพาหะนำเชื้อโรค คนมักจะนึกถึงของในพื้นที่สาธารณะ อย่างมือจับประตูในร้านกาแฟ ราวบันไดของรถไฟใต้ดิน หรือส้อมในร้านอาหารที่ล้างไม่สะอาด แต่เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อเราไม่มากเลยเมื่อเทียบกับความถี่ที่เราได้เจอ สิ่งที่มักทำให้เราป่วยจริงๆ อยู่ใต้จมูกเรานี่เอง
จากการวิจัยของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา พบว่า คนอเมริกันกว่า 48 ล้านคน ติดเชื้อสายพันธุ์อีโคไล, ซาลโมเนลลา หรือลิสทีเรีย บางครั้งจากอาหารที่ทำในบ้านของตัวเอง สำหรับคนทั่วไปที่สุขภาพปกติดี อาการอาจจะไม่ร้ายแรงมากนัก แต่กับคนที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือหญิงตั้งครรภ์ อาจมีอาการรุนแรงได้ นี่แสดงว่า ของใช้ที่เราใช้ทุกวันในบ้าน สามารถกลายมาเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยได้ง่ายๆ อย่ารอจนคุณมีอาการ เพราะการดูแลและกำจัดเชื้อโรคจากสิ่งเหล่านี้ ทำได้ไม่ยากเลย
1.ถาดวางของและลิ้นชักในตู้เย็น
นอกจากการเอาอาหารค้างคืนในตู้เย็นไปทิ้ง ซึ่งคุณทำอยู่แล้ว ใช่ไหม? ภายในตู้เย็นยังมีซอกหลืบอื่นๆ ที่สามารถเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้อีก ไม่ว่าจะเป็นที่ถาดวางหรือลิ้นชัก ที่อาจจะมีของเหลวหกลงไป ซึ่งอาจจะไหลไปปนเปื้อนกับอาหารสดที่คุณเพิ่งเอามาแช่ และยังมีปัญหาเรื่องขดลวดไฟฟ้าในช่องแช่แข็ง ซึ่งทำให้ระบบละลายน้ำแข็งทำงานไม่ดี น้ำจึงไหลไปที่ถาดรองน้ำ ซึ่งหากถาดรองน้ำนี้ไม่สะอาด จะทำให้น้ำในถาดที่ระเหยไปมีสิ่งสกปรกติดไปด้วย และอาจฟุ้งกระจายจนเป็นสาเหตุให้คุณไอหรือมีเสมหะได้ แล้วอย่าลืมผักผลไม้ที่คุณแช่ไว้โดยไม่ได้จัดการอะไรอีก ของเหล่านี้สามารถเป็นที่สะสมของเหล่าจุลินทรีย์ได้ทางที่ดีที่สุดคือ ทำความสะอาดตู้เย็น โดยเฉพาะตามซอกมุมต่างๆ ด้วยน้ำอุ่นกับเบกกิ้งโซดา นอกจากนั้นเมื่อซื้อผักและผลไม้มาจากร้านควรล้างให้สะอาดก่อนนำไปแช่
2.ผ้าปูที่นอน
นี่อาจฟังดูใกล้ตัวจนน่าตกใจ แต่ผ้าปูนี่แหละเป็นที่พักอย่างหรูเลยสำหรับเหล่าไรฝุ่น เหล่าไรพวกนี้สามารถเป็นสาเหตุได้ตั้งแต่การเป็นหวัดทั่วไป ไปจนภูมิแพ้ และโรคแพ้อากาศ ไรฝุ่นจะเพิ่มจำนวนขึ้นเยอะมากในสภาวะที่ห้องนอนปิดทึบและขาดการระบาย ซึ่งสภาพแบบนี้ไม่ได้ส่งผลกับแค่ไรฝุ่น แต่ความชื้นยังทำให้มีแบคทีเรียเพิ่มจำนวนด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารหวัดและอาหารเป็นพิษ
Dr. Lisa Ackerley ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยภายในบ้าน แนะนำว่าทำให้ห้องมีอากาศไหลเวียน ด้วยการเปิดห้องเพื่อระบายอากาศทุกวัน และซักผ้าปูเตียงด้วยผงซักฟอกสูตรกำจัดแบคทีเรียในน้ำอุณหภูมิ 60 องศาหรือต่ำกว่า อาจจะใช้ที่ดูดฝุ่นช่วยทำความสะอาดเตียงด้วยก็ได้ และพยายามอย่านอนเปลือยตลอดเวลา เพราะจะทำให้เชื้อโรคยิ่งแพร่กระจาย
3.เครื่องปั่นอาหารและน้ำผลไม้
เครื่องปั่นดูเป็นเครื่องหมายของการรักษาสุขภาพ แต่หากคุณไม่ทำความสะอาดหลังใช้ มันก็เชื้อเชิญสิ่งสกปรกเหมือนกัน โดยเฉพาะตรงส่วนอุปกรณ์ใบพัดด้านล่างซึ่งเป็นส่วนที่สัมผัสกับของเหลวตลอดเวลา หากทำความสะอาดไม่ดี มันก็จะกลายเป็นบ่อหมักจุลินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นอีโคไล หรือซาลโมเนลลา ดังนั้น Lisa Yaks ผู้จัดการโครงการองค์กรด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยหรือ NSF จึงแนะนำว่า ควรนำเครื่องปั่นมาแยกชิ้นทำความสะอาดด้วยมือทุกครั้งหลังใช้เสร็จ หรืออย่างน้อยก็ควรล้างให้เรียบร้อยก่อนเก็บ
4.เชื้อราตามมุมบ้าน
ที่อยู่อาศัยแบบปัจจุบัน เอื้ออำนวยต่อการเกิดของเชื้อรามาก เพราะเชื้อราแพร่ได้เร็วบนไม้ ผนัง และวอลล์เปเปอร์ ยิ่งปัจจุบันบ้านส่วนใหญ่สร้างแบบปิดทึบเพื่อให้เครื่องทำความเย็นหรือร้อนทำงานได้ดี ก็ยิ่งทำให้ในบ้านเกิดความชื้นสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ของคนถึงหนึ่งในสาม และอาการจะยิ่งรุนแรงขึ้นหากคนนั้นเป็นโรคหอบหืดอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เชื้อราทุกชนิดจะเป็นอันตราย Dr. David Zhang นักวิจัยทางชีววิทยากล่าวว่า มีเชื้อราเพียง 50 จาก 100,000 ชนิดเท่านั้น ที่ถูกประกาศว่ามีอันตราย
สำหรับการดูแลเรื่องเชื้อราในบ้าน คุณควรให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบ โดยเฉพาะเพื่อพบข้อบ่งชี้ที่มองเห็นได้อย่างการเปลี่ยนสี การหลุดลอก ไปจนถึงกลิ่นอับ รวมถึงหากคุณมีอาการทางสุขภาพอย่างมีน้ำมูก ไอ ตาแห้ง มีผื่น คุณก็ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูเรื่องเชื้อราในบ้านเหมือนกัน
5.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
เชื่อหรือไม่ว่า น้ำยาทำความสะอาดที่มักมีกลิ่นและภาพที่สื่อถึงธรรมชาติอย่างกลิ่นเลมอนอะไรพวกนี้ เต็มไปด้วยสารเคมีมากมาย ซึ่งทำให้ระคายเคืองผิว ทำลายไต ทำร้ายตับ และเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ หรือ EPA ได้ให้ข้อมูลด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชั้นนำทั้งหมดที่วางขายในตลาด มีเพียง 7% เท่านั้นที่เปิดเผยสูตรสารเคมีที่เป็นพิษเหล่านี้ให้สาธารณะชนได้รับทราบ ดังนั้นหากคุณใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่บ้าน อย่าลืมใส่ถุงมือยาง เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และผสมในน้ำเพื่อให้พิษจากสารเคมีเจือจางลง
วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายในข้อนี้ง่ายมาก นั่นคือ อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ระบุว่ามีส่วนผสมอย่าง ethanolamines หรือ 2-Butoxyethanol ถ้าเป็นได้ควรเลือกน้ำยาที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ไปจนถึงเลือกใช้ของธรรมชาติอย่างน้ำส้มสายชู หรือเบกกิ้งโซดา ทำความสะอาดแทนไปเลย
6.เครื่องดูดฝุ่น
ถ้าคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น แล้วไม่เคยทำความสะอาดไส้กรองฝุ่นเลย คุณก็กำลังเอาตัวไปเสี่ยงกับจุลินทรีย์และแบคทีเรียอย่างจัง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการภูมิแพ้และปัญหาในระบบทางเดินหายใจ Caroline Duchaine ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยลาวาล รัฐควิเบก กล่าวว่าฝุ่นที่มาจากเครื่องดูดฝุ่น จะทำลายปอดในระยะยาว ดังนั้น ควรทำความสะอาดไส้กรองฝุ่นสม่ำเสมอ ในขณะที่ดูดฝุ่นควรเปิดหน้าต่างไว้ และหากเป็นได้ควรสวมหน้ากากกันฝุ่นด้วย
7.พรมเช็ดเท้าในห้องน้ำ
พรมนุ่มฟูที่คุณใช้เช็ดเท้าหลังจากอาบน้ำเสร็จ มองด้วยตาอาจจะดูสะอาดดี แต่นี่แหละคือสนามเด็กเล่นอย่างดีของรา แบคทีเรีย และไรฝุ่น ซึ่งก่อให้เกิดอาการหวัดและภูมิแพ้ได้ และยิ่งถ้าคุณเป็นคนใช้แป้งโรยตัว (ไม่ว่าจะเป็นแป้งเด็กหรือแป้งข้าวโพดก็ตาม) แล้วใช้แป้งขณะยืนบนพรมเช็ดเท้า ก็จะยิ่งเพิ่มฝุ่นเข้าไปอีก
วิธีแก้ก็คือ ซักพรมเช็ดเท้าให้ถี่ขึ้น ประมาณสองครั้งต่อเดือน และพยายามตัวให้แห้งก่อนจะเหยียบลงที่พรมเช็ดเท้า เพื่อลดการเกิดความชื้นสะสมที่จะเกิดขึ้นที่พรม
8.ผ้าเช็ดผม
จากการศึกษาพบว่า ผ้าเช็ดผมของคนอเมริกันถึง 30% มีเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า มัยโคแบคทีเรีย (Mycobacterium Avium) นักวิจัยยังพบอีกว่า น้ำที่มาจากการสระผม มีแบคทีเรียมากกว่าน้ำที่ใช้ในส่วนอื่นๆ ของบ้านถึง 100 เท่า เชื้อมัยโคแบคทีเรียนี้ หากสูดดมหรือกินเข้าไป อาจส่งผลต่อระบบปอดและทางเดินหายใจได้ ซึ่งอาการที่บ่งชี้ก็คือ หายใจไม่ออก ไอเป็นระยะ และอ่อนแรง ซึ่งหากเป็นคนที่มีอาการภูมิแพ้อยู่แล้ว อาจมีอาการรุนแรงขึ้นอีก
วิธีแก้ก็คือ ซักผ้าเช็ดผม อย่าเก็บผ้าชื้นๆ เอาไว้เด็ดขาด เพราะจะยิ่งหมักหมมแบคทีเรีย และผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจะทิ้งผ้าเช็ดผมเก่า แล้วซื้อผืนใหม่มาใช้ทุก 6-8 เดือนด้วย