รีโนเวทบ้านโบราณ 100 ปีกลางกรุง กับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

รีโนเวทบ้านโบราณ 100 ปีกลางกรุง กับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

รีโนเวทบ้านโบราณ 100 ปีกลางกรุง กับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ สำหรับเจ้าของกระทู้รีโนเวทบ้านเก่ากลางกรุงอายุ 100 ปี กลายเป็นบ้านหลังใหม่ตกแต่งได้อย่างคลาสสิค คุณสมาชิกหมายเลข 1415794 จากเว็บไซต์พันทิป ดอทคอมจึงมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้ให้ฟังอย่างละเอียด

เรื่องมันนานมาพอสมควรแล้วนะครับ กับบ้านหลังนี้ที่ผมได้มาครอบครอง จะว่าไปเรื่องราวมันก็เริ่มมาตั้งแต่ปี 2556 ประมาณเดือนมิถุนายน ผมยังจำได้แม่นกับภาพน้ำขังนองถนนและทางเท้าในกรุงเทพมหานครแห่งนี้

วันนั้นเป็นวันที่ผมว่างจากงานและเริ่มคิดฝันว่าเราเองควรจะมีบ้านในกรุงเทพสักหลังหนึ่ง เหมือนกับคนอื่นๆ เขา ผมจึงตัดสินใจมาเดินย่ำพระนครและเลือกซื้อบ้านสักหลังไว้เป็นที่พักเวลามาทำธุระ ด้วยความเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คอนโดและหมู่บ้านจัดสรร ผมจึงเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับย่านที่อยู่อาศัยในกทม. แล้วโชคก็บังเอิญให้ผมเปิดเจอ Blog ของพี่คนหนึ่งซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ระหว่างปี 2525-2540 ใน Blog ของเขามีรูปภาพบ้านเรือนเก่าๆ มากมายที่ได้เคยถ่ายไว้จากละแวกเก่าแก่แห่งนี้   มันจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาเดินย่ำตรอก ซอกซอยในละแวกถนนราชดำเนินกลาง ถนนสายสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ รอบๆ ถนนราชดำเนินกลางเต็มไปด้วยตรอก ซอก ซอย เล็กๆ ที่บ่งบอกถึงผังเมืองอันมีมาก่อนที่กรุงเทพของเราจะถูกปกครองด้วยรถยนต์ บางซอยก็กว้างพอที่รถยนต์จะเข้าไปได้ บางซอยก็กว้างเพียงแค่เดินสวนกันได้แค่นั้นเอง บ้านเรือนในละแวกนี้มีผสมปนเปกันไปหลายสไตล์ แต่ที่มีมากที่สุดก็เห็นจะเป็นบ้านไม้สไตล์ขนมปังขิง ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.5 และ ร.6 เท่าที่พอจะนับเอาได้ผมเห็นว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 80 หลังกระจุกรวมตัวกันอยู่ตามตรอกต่างๆ ในใจก็พลอยนึกจินตนาการไปถึงเพลง บัวขาว และเงาไม้ของ พวงร้อย อภัยวงศ์ สมัยที่น้ำในคลองหลอดยังใส ลงเล่นได้

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอะไรที่จะเป็นของเรา ก็จะเป็นของเรา  ซึ่งถึงแม้บ้านขนมปังขิงทั้งสองหลังที่นัดล่วงหน้ามาดูในวันนั้นจะมีความงดงามมากสักเพียงใดอุปสรรคต่างๆ ก็ทำให้เราไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้  เกือบสี่โมงเย็นวันนั้นผมจึงคิดจะเดินทางกลับราชบุรีพร้อมกับการคว้าน้ำเหลว แต่ในขณะที่กำลังจะกลับนั้นเอง เด็กตัวน้อยที่พามาด้วยก็เหลือบไปเห็นร้านขายขนมเก่าๆ ร้านหนึ่งอยู่ค่อนเข้าไปในซอยเล็กๆ กว้างพอรถเข้าได้ นั้นเป็นจุดเริ่มต้นให้เราเดินเข้ามาในซอยชื่อ "ตรอกศิลป์" และมาพบกับบ้านหลังนี้

การซื้อขนมของเด็กตัวน้อยๆ เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาระหว่างผมกับเจ้าของร้านค้า ซึ่งสงสัยว่าคนแปลกหน้าเข้ามาทำอะไรในซอยเล็กๆ นี้ เพียงแค่เล่าให้ฟังถึงการมาดูบ้าน เจ้าของร้านก็ชี้เข้ามาที่บ้านหลังหนึ่งอยู่เยื้องเข้าไปในซอย ผมจึงพากันเดินเข้าไปยังบ้านเพื่อถามยืนยันถึงข่าวการขาย ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นถึงความโรยราของตัวบ้าน และสภาพการดัดแปลงต่อเติมที่เกิดขึ้นตามสภาพการใช้งานตามกาลเวลา แต่กระนั้นก็ยังพอเห็นเค้าโครงความงามในอดีต จึงคิดอยากลองฝีมือคืนชีวิตให้กับบ้านหลังนี้กันสักครั้งหนึ่ง

สภาพแรกที่เห็นจากภายนอกรั้วบ้านครับ

พอจะเห็นแววไหมครับ

เรายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้าน ในใจก็คิดว่าควรจะทำอย่างไรดีเพราะสภาพภายนอกของตัวบ้านเหมือนถูกปล่อยปละละเลยมานานจบเกือบจะเหมือนบ้านร้าง ก่อนจะตัดสินใจกดกริ่งเรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน บรรยากาศบ่ายแก่ๆ มันดูสงบเงียบผิดปกติ แทบจะไม่มีผู้คนเดินในซอยเลย ยืนรออยู่สักพัก ก็มีป้าแก่ๆ คนหนึ่งอายุน่าจะเกือบเจ็ดสิบ เดินมาเปิดประตูบ้าน ผมจึงขออนุญาตถามว่าบ้านหลังนี้ต้องการขายจริงหรือไม่ และคำตอบที่ได้คือให้เข้ามาดูก่อนแล้วจะปรึกษากับญาติคนอื่นๆ รวมทั้งคุณปู่อีกคนหนึ่งซึ่งไม่สบายนอนอยู่บนเตียงพยาบาลที่โถงกลางบ้าน ถ้าให้คาดเดาอายุแล้วก็น่าจะเข้าเลข 9 มาได้ประมาณหนึ่ง

ผมจึงขออนุญาตคุณป้าเข้าไปดูในบ้าน ภายในบ้านมืดมากแทบมองไม่เห็นอะไรเลยรูปถ่ายทุกใบต้องใช้ Flash ครับ มืดๆ เดินไปก็ลุ้นไปว่าจะเห็นอะไรมั้ย

นี่คือรูปห้องโถงครับ

ขึ้นไปบริเวณชั้น สอง มีตู้เสื้อผ้าโบราณอยู่พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้โบราณอีกหลายชิ้น

บันได ปีนขึ้นชั้นสาม เป็นห้องเก็บของใต้หลังคา

และที่ตกใจที่สุดคือ เมื่อเปิดเขาไปในห้องเก็บของ มันมืดมากเลยใช้ flash ถ่ายติดมาแบบนี้ครับ ตกใจแทบแย่ตอนเปิดดูในมือถือครั้งแรก

ทีแรกมืดๆ นึกว่าของจริงครับ นึกว่าถ่ายติดของดีมาซะแล้ว

เมื่อเดินดูรอบๆ บ้านเสร็จผมก็คุยกับคุณป้าเจ้าของบ้านและได้ความว่าบ้านหลังนี้ถูกสร้างมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบแต่ตอนยังสาวๆ คุณป้าจำได้ว่าตัวบ้านเคยมีลายฉลุมากกว่านี้ พี่ชายคนโตป้าหรืออย่างไรเคยรับราชการเป็นทหารเรือแล้วชวนเพื่อนๆ มาบูรณะบ้านครั้งใหญ่อยู่หนหนึ่งสักสามสี่สิบปีมาแล้ว มีการเปลี่ยนส่วนต่างๆ ของบ้านไปมากมาย แต่ที่จะคงเหลือไว้ดีที่สุดก็คือบันได ส่วนลายฉลุบางส่วนก็น่าจะถูกเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งก็ไม่เคยรื้อค้นมานานแล้ว

จากสภาพบ้านที่ผมเห็นผมก็นึกเสียดายบ้านมาก ในใจก็นึกว่าเราปักธงมาตั้งแต่แรกแล้วว่าคงจะเอาหลังนี้ ถึงสภาพมันจะโทรมสักเท่าไร ถึงมันจะชวนขนหัวลุกกว่าหลังอื่นๆ ที่ได้ดูมา แต่ก็ตัดสินใจซื้อมาครับ นัดวางมัดจำกับทางคณะญาติๆ คุณป้าในไม่กี่วันต่อมา ส่วนตอนไปซ่อมจะเจออะไรบ้างนั้น เดี๋ยวมาต่อครับ

ไม่กี่วันต่อมาหลังจากเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมานั่งทำการบ้านสืบค้นประวัติของบ้านหลังนี้ เพื่อที่จะทำการบูรณะมันสู่สภาพเดิมต่อไป
เอกสารที่ดีที่สุดในการช่วยประเมินอายุของบ้านก็คือ โฉนดที่ดินครับ แน่นอนว่าวันที่ออกโฉนดและวันที่บ้านถูกสร้างไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงเวลาเดียวกัน แต่มันก็เป็นเครื่องมือนำทางที่ดีในการเริ่มต้น ปีพ.ศ.ที่ระบุว่าโฉนดถูกออก คือ 2462 แก่พระยาท่านหนึ่ง ซึ่งจากการค้นประวัติน่าจะเคยคุมกองทัพแถวเขตโคราช เพราะฉะนั้นตัวบ้านก็มีโอกาสที่จะมีอายุเก้าสิบกว่าปี ร่วมร้อยปี

เมื่อพอจะทราบช่วงเวลาคร่าวๆ ผมก็ต้องไปพยายามหาหลักฐานการมีอยู่ของตัวบ้าน สมัยนั้นใบขออนุญาตก็สร้างก็ยังไม่น่าจะมี ใครใคร่ปลูกอะไรก็สามารถทำได้ การออกโฉนดเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเริ่มมีการทำกันตั้งแต่สมัยกลางรัชกาลที่ 5 แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย ที่หลายๆ ผืนถ้ายังไม่มีนิติกรรมใดๆ เจ้าของส่วนใหญ่ก็ถือสิทธิจับจองไปมากกว่าที่จะไปยื่นของออกโฉนดเป็นเรื่องเป็นราว

หลักฐานในการพยายามระบุตัวบ้านอีกอย่างนึงก็คือแผนที่กรุงเทพมหานครแต่ละสมัย ซึ่งสมัยก่อนมีการระบุอาคารไว้อย่างละเอียด ผมจึงเริ่มกลับไปดู แผนที่กทมในปี 2475 (สำรวจเมื่อ 2468)

ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดครับ หลังจากเทียบระยะถนนและตำแหน่งบ้านกับปัจจุบันแล้ว ก็พบว่าบ้านหลังนี้ถูกระบุไว้ในแผนที่เรียบร้อยแล้ว (จุดดำๆ ตรงกลางในวงกลมสีเขียวๆ ที่วงไว้ให้ครับ) (อาคารปูนระบายสีแดง อาคารไม้สีดำครับ)

การสืบค้นก็ดำเนินต่อไปครับ ก่อน 2475 เท่าที่พอจะหาได้ก็มีแผนที่ 2450 ครับ ซึ่งทำการสำรวจระหว่าง 2448-2450 เมื่อวางเทียบตำแหน่งดูแล้วก็พบว่าตัวบ้านยังไม่ปรากฏครับ (ตรงที่วงสีเขียวไว้)

ดังนั้นเราก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าบ้านน่าจะถูกสร้างระหว่าง 2450 ถึง 2468 ครับ อายุของบ้านถ้าเก่าสุดตอนนี้ก็จะอยู่ราวๆ 108 ปี ใหม่สุดก็ 90 ปีพอดีครับ

เมื่อเทียบแล้วระยะเวลาดังกล่าวก็แทบจะอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งหมด (ร.6 เสด็จสวรรคตปี 2468 ปีเดียวกัน) การสืบค้นเช่นนี้ทำให้เราพอจะเดาอายุบ้านได้แคบลงอีกหน่อยคือ สถาปัตย์ในสมัย ร.6 ตอนต้น และตอนปลายมีความต่างกันอยู่ในระดับหนึ่งคือ ลวดลายฉลุในสมัย ร.6 ตอนปลายจะมีน้อยมากครับ หรือแทบไม่ใส่เลย จะนิยมเล่นไม้ตรงๆ เป็นทรงเรขาคณิตซะมากกว่า เพราะเราเริ่มรับศิลปะอาร์ตเดคโค่มาจากทางตะวันตกแล้ว ศิลปะ Neo-classical และ  Art Nouveau ในสมัย ร.5  เริ่มเสื่อมความนิยมลงในกลางรัชกาลที่ 6 ลองนึกถึง Centara Grand  หัวหินครับ เปิดใช้ปลายสมัยรัชกาลที่ 6 พอดีถือว่าล้ำมากสมัยนั้น สังเกตการเล่นลายฉลุในภาพนะครับ

สังเกต ราวบันไดครับ ไม่ฉลุแล้ว เล่นลายซี่ไม้ตรงๆ พอ

เทียบกับบันไดของบ้านครับ

ตามด้วยพวกช่องลมครับและราวระเบียง ไม่ฉลุแล้ว มีความเป็น Art Deco สูงเมื่อเทียบกับสมัยก่อนหน้านี้

ดังนั้นก็พอจะเดาได้ครับว่าน่าจะเป็นบ้านสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนกลางถึงปลาย (ดูจากบันไดซึ่งไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงเลย) เมื่อพอทราบประวัติของบ้านแล้วก็เริ่มงานบูรณะได้เลยครับ

จากการตรวจสอบฝาบ้านซึ่งเป็นไม้ก็ผุพังไปมากแล้ว บ้างก็มีปลวกกิน บ้างก็ผุเพราะโดนน้ำฝน จึงต้องจำใจรื้อออกทั้งหมดครับ รวมถึงหลังคาเดิมที่ฝนรั่วด้วย ครั้นจะเอาไม้จริงมาใช้เหมือนเดิมก็มีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงมาก เลยตัดสินใจให้ทางทีมช่างใช้ไม้เทียม ไฟเบอร์ซีเมนต์ครับ พอเปลี่ยนฝาเสร็จ รูปร่างหน้าตาก็ออกมาเป็นแบบนี้ครับ

จากตอนแรกที่เป็นแบบนี้

หลังจากนั้นก็เริ่มขัดสีเก่าส่วนที่ร่อนๆ ออกครับ พร้อมกับกั้นห้องตามประโยชน์ใช้สอยใหม่ ด้านล่างเปิดโล่งหมด ส่วนชั้นบนกั้นเป็นห้องนอน 4 ห้องครับ

ของเก่าเป็นแบบนี้

หลังจากขัดๆ ส่วนบนๆ ของตัวบ้านเสร็จ ก็เริ่มมาจัดการพื้นครับ เริ่มด้วยการขัดผิวหน้าเดิมออกก่อน บ้านเก่ามากแล้วพื้นบางส่วนก็เริ่มบิดบ้าง ไม่ค่อยเรียบ ขัดปรับใหม่ให้เสมอกันครับ

แล้วก็ตามมาด้วยการยาร่องไม้ สมัยก่อนอาจจะใช้ดินสอพองผสมสี แต่สมัยนี้มีแบบสำเร็จขายครับ ราคาไม่แพงมาก ใช้ดีๆ ก็ตกค่าใช้จ่ายประมาณ 4 - 7 บาทต่อตารางเมตร แพงกว่าดินสอพองแต่ความสม่ำเสมอของสีดีกว่า และคงทนกว่าด้วยสารผสมพิเศษที่เขาใส่มาครับ ถือว่าคุ้มค่าเพราะดินสอพองถ้าโดนน้ำก็ร่อนละลายได้ง่ายอยู่เหมือนกัน

พอลงดินสอพองเสร็จก็ขัดละเอียดอีกรอบ แล้วก็เริ่มลงสีย้อมไม้ชนิดที่ใช้ทาพื้นครับ อันนี้เลือกเป็นสี Walnut เพราะอยากให้พื้นออกมาดูน้ำตาลนิดๆ ครับ ถ้าทาสีใสไปเลยตัวไม้พื้นของบ้านนี้มันจะออกมาแดงๆ ครับ ไม่ค่อยตรงกับสไตล์ที่อยากให้เป็นเท่าไร

พอลงสองรอบเสร็จพร้อมกับใส่กระจกหน้าต่างกลับคืนเข้าไป ก็ออกมาได้อารมณ์ประมาณนี้แล้วครับ สังเกตฝาในห้อง ของเดิมเป็นไม้แผ่นบางๆ หน้ากว้าง ประมาณ6 นิ้วตีทับกันไปมาครับ แต่โดนปลวกเล่นงานเข้าไป ของใหม่ผมจึงตัดสินใจใช้เสื่อรำแพนแทนครับ ราคาไม่หนีกันเท่าไรต่อตารางเมตร แต่เสื่อรำแพนให้ความรู้สึกที่ Exotic กว่า

ส่วนห้องอื่นๆ ของบ้านก็ประมาณนี้ มาถึงจุดนี้ก็ประมาณสามเดือนครับตั้งแต่เริ่มซ่อม

หลังจากจัดการภายในตัวบ้านเสร็จก็เริ่มมาทาสีข้างนอกครับ หลายๆ อย่างอาจจะไม่ได้ใช้วัสดุเดิมทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พยายามทำให้ตัวบ้านสามารถอยู่ได้จริงแบบร่วมสมัยมากขึ้นโดยไม่ทิ้ง spirit ของเดิมครับ

อันนี้ด้านข้างของตัวบ้าน

ด้านหน้าครับ ชั้นใต้ถุนก็ปรับไว้จอดรถได้

ถ้าใครชอบบ้านแนวนี้แนะนำให้มาเดินเที่ยวชมนะครับ แถวนี้มีมากมายหลายหลัง ดีบ้างโทรมบ้าง ตามสภาพ

อย่างหลังนี้อยู่ห่างกันไปประมาณ 200 เมตร

อันนี้ทางเข้าเขตสงฆ์ วัด มหรรณพ สร้างในปีไล่ๆกันครับ สมัยที่งานสถาปัตย์เริ่มเปลี่ยนสู้ความเป็นตะวันตก

อันนี้อีกหลัง อยู่ตรงข้างกันในซอย ถ่ายจากระเบียงบ้าน สภาพยังดีอยู่มากเพราะไม่เคยถูกต่อเติมเลย ลูกหลานก็รักษาไว้ดีมากครับ

ส่วนอันนี้ ขนาดย่อมลงมาหน่อย ถ้าดูใกล้ๆ ก็จะรู้ว่าห้องด้านซ้ายถูกต่อเติมออกมาทีหลัง เดิมตัวบ้านน่าจะได้สัดส่วนและลวดลายกว่านี้ แต่ปัจจุบันถูกใช้เป็นบ้านเช่าครับ หลายๆ หลังจะถูกต่อเติมแบบนี้เพราะเน้นประโยชน์ใช้สอยมาก่อน

ขออนุญาตชี้แจงข้อสงสัยของหลายๆท่านนะครับ ตัวบ้านอยู่ฝั่งตรอกศิลป์นะครับไม่ได้อยู่ทางร้านศรแดง ฝั่งทางร้านศรแดงมีเหลืออยู่น้อยครับ ประมาณแค่สองสามหลังเท่าที่เห็น แต่ซุ้มประตูของบ้านหลังนี้สวยมาก บ้านยุคนี้ส่วนใหญ่นิยมทำซุ้มประตูเข้าบ้านครับ แค่มาเดินดูก็มีความสุขแล้ว

ถ้าจะเอาประวัติบ้านจริงๆ ตัวบ้านเดิมมีพื้นที่กว้างมากนะครับ ประมาณ 77 ตารางวา แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาตัวโฉนดถูกซอยขายไปสองครั้งครับ คาดว่าลูกหลานคงนำไปแบ่งกัน และอีกส่วนหนึ่งยกเป็นทางสาธารณะไปครับ เพื่อให้คนท้ายซอยสามารถสัญจรได้ หลังจากที่เราเลิกใช้คลองกันไปแล้ว สภาพพื้นที่ที่เหลืออยู่ในตอนนี้จึงเป็นอย่างที่เห็นครับ บางบ้านลูกหลานพอไหวก็ไม่ได้แบ่งขาย บางบ้านก็เลือกที่จะแบ่งขายไปครับ

หลังจากผ่านไปประมาณแปดเดือน ก็เริ่มขนเฟอร์เข้าครับ เน้นไปทางสไตล์ Colonial หลายๆ ชิ้นเป็นงานเดิมที่ได้มากับตัวบ้านตอนซื้อ บางชิ้นก็ซื้อเข้ามาใหม่ครับ

ห้องนั่งเล่นด้านล่าง

พยายามรักษาความขรึมไว้ครับ แล้วไปเล่นสีที่พวกผ้า พวกปลอกหมอนแทนเพื่อไม่ให้มันดูโบราณอุดอู้จนเกินไป สีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยให้สดชื่นขึ้นมาได้ ลงตัวกับความเข้มของสีไม้ดี

โอ๊ะลืมบอกไป ตอนซ่อมบ้านและขุดดินแถวบ้านก็เจอเหรียญพวกนี้ครับ ฝังอยู่โคนเสาต้นที่ผุแล้วเราเปลี่ยนใหม่ชุดนี้พร้อมแหวนอยู่ใต้เสากลางๆ บ้านครับ ใครพอจะรู้เรื่องแหวนพระลองดูให้ทีครับว่าเป็นของที่ไหน

ส่วนเหรียญที่พบก็เป็นเหรียญอัฐ เหรียญไพ สองสามเหรียญครับ น่าจะสมัย ร.5 เป็นเหรียญทองแดง สภาพเยินมากแล้ว

ส่วนห้องนอนห้องอื่นๆ ก็ตกแต่ง ประมาณนี้ครับ

อันนี้ห้องนอนครับ

อันนี้ห้องนอนใหญ่

อันนี้ห้องน้ำของห้องนอนใหญ่ครับ กระเบื้องและรูปแบบก็อกน้ำก็เลือกให้มีสไตล์ colonial ผสมอยู่

อันนี้มุมระเบียงหน้าบ้านครับ เอาไว้นั่งคุยกับเพื่อนบ้านได้คุยข้ามหลังกันเนี่ยแหละครับ มันเป็นวิถีของคนแถวนี้ ฝากซื้อของหน้าปากซอยก็ได้ สั่งอาหารตามสั่งกลางซอยก็ได้ อยู่กันแบบญาติๆ ครับ แปลกดี ใครที่นึกว่าเมืองไทยแบบสมัยก่อนหายไปไหน จริงๆ มันก็อยู่เงียบๆ แบบนี้มานานแล้วนะครับ เมื่อก่อนนึกว่าซอยนี้จะน่ากลัว ที่ไหนได้ ยังกับอยู่ตามต่างจังหวัด อยู่เป็นชุมชนครับ ถ้าถามว่าให้เลือกอยู่ที่ไหนในกทม. ก็ยังได้คำตอบเดิมครับว่า เกาะรัตนโกสินทร์

เสียดายที่หลายๆ ส่วนของเกาะนี้ทรุดโทรมลงไปมาก ไม่เหมือนเมืองเก่าของเชียงใหม่ที่เดี๋ยวนี้ Chic  มากๆ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วกายภาพวัดวาอาราม ไม่แพ้กันเลยนะครับ

อ๊ะ ลืมอีกเรื่องนึง ใต้บันไดมีทางลง หลุมหลบภัยใต้ดินด้วยนะครับ คาดว่าน่าจะมาต่อเติมที่หลังสมัยสงครามโลก มีบ่อน้ำด้วยนะเออ

คิดๆ แล้วสมัยสงครามนี่ก็น่ากลัวนะครับ บ้านไหนไม่ได้สร้างที่หลบเองก็ไปอาศัยตามหลุมหัวลำโพง หรือตามวัด บ้านไหนพอจะมีกำลังก็คงสร้างไว้เองอย่างที่เห็นครับ มีการขุดบ่อน้ำไว้ด้วย ไอ้ฝาครึ่งวงกลมนั้นแหละครับ ไม่ลึกมากประมาณเมตรนึง กรุงเทพน้ำนองครับขุดนิดหน่อยน้ำก็เจิ่งแล้ว

มีรูปนึงที่เจ้าของบ้านเดิมเคยให้ดูไว้ครับ เป็นรูปสมัยเมื่อสัก 50-60 ปีมาแล้ว เด็กตัวเล็กๆ คือพี่ชายคุณป้า สังเกตลายไม้ของระเบียงบ้านข้างหลังครับ ตอนผมซื้อมาไม้พวกนี้ถูกรื้อออกไปหมดแล้วเพื่อทำห้องเพิ่ม

แต่ตอนเรามาซ่อมก็คืนสภาพเดิมให้กับตัวบ้านก่อนต่อเติมครับ ของเดิมถูกตีทึบไปหมดแล้ว แต่บ้านไม้มักสังเกตได้ง่ายว่า ส่วนไหนเก่า ส่วนไหนใหม่ เพราะรอยต่อและเนื้อไม้ที่ต่างกันมันจะฟ้อง ไม่เหมือนปูนครับ ฉาบทับ ทาสีใหม่ก็บอกยากแล้ว

รูปข้างล่างนี้ ผมทำราวคืนให้กับช่องประตูครับ ใครเคยมีบ้านโบราณจะพอทราบว่า สมัยก่อนเขานิยมทำหน้าต่างยาวลงถึงพื้น แล้วทำราวกันตกเอา หลายๆ หลังแถวนี้ก็ทำกันครับ กึ่งประตูกึ่งหน้าต่าง

หลายท่านถามหลังไมค์มาถึงสถานที่ล่าสมบัติที่เอามาแต่งบ้านนะครับ จะแจงให้ตามนี้นะครับ

วิทยุแบบทางซ้ายมือไปได้มาจากสนามหลวง 2 ครับ ราคาหลักหมื่นต้นๆ ของเก่า 50 ปีจากเยอรมัน ยังเล่นได้เล่นแผ่นเสียงได้

เปียนโนก็. Yamaha  ทั่วไป

ตู้หนังสือไม้สักตรงกลางรูปแนว Art and Craft  นี้มากับบ้านครับ เจ้าของแถมให้ ตีราคาไม่ถูก

โซฟา chesterfield  หนังแท้หนึ่งที่นั่ง เอามาจากอังกฤษครับ ราคาหมื่นต้นๆ

หีบสมบัติเงาๆกลางรูป งานเยอรมัน ได้มาจากสนามหลวงสอง 5,000 บาท พี่คนขายใจดีครับ

ชุดหมากรุก ซื้อจากร้าน เรือนแก้ว แยกนครชัยศรี ราคา ประมาณพันต้นๆ

ฉากกั้นหวายสีขาวๆหลังเปียโน จาก chic republic หลายปีแล้วตอนลดราคาเก้าพันได้มั้ง

เก้าอี้ director chair หนังแท้สีดำจากร้านเนือนแก้วครับ ตัวละ 5,000

เฟอร์ไม้สัก พวกเตียงนอน โต๊ะเขียนหนังสือ สั่งจากแพร่ครับ แบบและสีเรากำหนดได้ เขามาส่งถึงบ้านราคาถูกกว่า กทม มากอยู่ ขายตาม facebook ก็มี

คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ ส่วนใหญ่ซื้อสะสมไว้ก่อนครับ จะใช้แล้วไปซื้อเลยนี้บางทีเร่งเลือกของมากเกินไป ได้ของไม่ถูกใจจริงอีก

 

 

 

 

อัลบั้มภาพ 50 ภาพ

อัลบั้มภาพ 50 ภาพ ของ รีโนเวทบ้านโบราณ 100 ปีกลางกรุง กับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook