แปลนบ้านที่ใช่กับ 5 ปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม
ไม่ว่าจะปลูกบ้านเองหรือซื้อบ้านสำเร็จรูป หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการพิจารณาคือ แปลนบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า บ้านนั้นน่าอยู่และตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยหรือไม่ และหากเลือกแปลนบ้านไม่ดี ก็มักยากที่แก้ไขได้เพราะเป็นเรื่องในระดับโครงสร้างของบ้านที่การรื้อหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรนั้นต้องใช้เวลาและเงินจำนวนมาก อยากได้บ้านที่อยู่สบาย ลงตัว และไร้ปัญหา? ตามมาดูสิ่งสำคัญในการพิจารณาเลือกแปลนบ้านกันเลย ซึ่งใช้ได้กับแปลนบ้านชั้นเดียว แปลนบ้านสองชั้น หรือจะกี่ชั้นก็ได้
1. ขนาดพื้นที่ดินและขนาดตัวบ้าน
ควรเลือกแปลนบ้านที่มีขนาดพอเหมาะกับจำนวนคนในครอบครัวและกำลังทรัพย์ ที่สำคัญ กฎหมาย พ.ร.บ. ควบคุมอาคารกำหนดให้ต้องมีระยะห่างระหว่างตัวบ้านกับรั้วอย่างน้อย 2 เมตรสำหรับบ้าน 2 ชั้น และอย่างน้อย 3 เมตรสำหรับบ้าน 3 ชั้น
ดังนั้นขนาดความกว้างของตัวบ้านจึงต้องน้อยกว่าความกว้างของที่ดินอย่างน้อย 4 เมตร และความยาวของตัวบ้านก็ต้องน้อยกว่าความยาวของที่ดินอย่างน้อย 4 เมตรเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ แปลนบ้านควรสอดคล้องกับรูปทรงของที่ดิน เช่น ที่ดินเป็นทรงหน้ากว้าง แปลนบ้านก็ควรเป็นแบบหน้ากว้าง และที่ดินเป็นทรงลึก แปลนบ้านก็ควรเป็นแบบทรงลึกเช่นกัน
2. สภาพแวดล้อม
การจัดวางห้องต่าง ๆ ในแปลนบ้านต้องคำนึงถึงการใช้สอยและสภาพแวดล้อม เช่น ห้องนอนและห้องทำงานที่ต้องการความสงบเงียบก็ควรอยู่ในด้านที่ไม่มีเสียงดังอย่างด้านที่ไม่ติดถนนหรือด้านที่ติดกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน
3. ทิศแดดและทิศทางลม
ควรให้ห้องที่มีความชื้นอย่างห้องน้ำและลานซักล้าง ห้องที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยอย่างห้องเก็บของ รวมทั้งบริเวณที่รับแดดแรงได้อย่างลานจอดรถ หันไปทางทิศตะวันตกที่รับแดดบ่าย เพื่อช่วยลดความร้อนของตัวบ้าน ควรปลูกต้นไม้หรือสร้างโครงสร้างยื่นหรือกันสาดบังแดด
ส่วนห้องที่ใช้งานประจำ เช่น ห้องรับแขก ห้องนอน และห้องนั่งเล่น ควรอยู่ในทิศที่รับลม ซึ่งก็คือทิศเหนือ (จากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) และทิศใต้ (จากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงมีนาคม-ตุลาคม) เพื่อให้บ้านเย็นสบายขึ้นและช่วยประหยัดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และถ้าเหมาะสมกับรูปทรงของที่ดิน
ควรวางตัวบ้านด้านที่แคบกว่าไว้ตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเพื่อให้รับแดดน้อย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ด้านที่กว้างกว่าจะหันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ซึ่งไม่รับแดดโดยตรงแต่รับลมโดยตรง แปลนบ้านแบบนี้จึงช่วยให้ได้รับความร้อนอบอ้าวจากแสงแดดน้อยลงและเย็นสบายขึ้นจากการรับลม
4. ประตูและหน้าต่าง
แปลนบ้านที่ดีควรวางประตูและหน้าต่างที่ไม่ตรงกันเพื่อมิให้ลมเข้าแล้วออกไปทันที ซึ่งทำให้บ้านไม่ได้รับความเย็นเท่าที่ควรและไม่เกิดการหมุนเวียนถ่ายเทอากาศภายในบ้าน นอกจากนี้ ตำแหน่งของประตูและหน้าต่างยังต้องสอดคล้องกับทิศรับลมและการถ่ายเทอากาศภายในบ้านด้วย เช่น ควรมีประตูในด้านที่รับลมโดยอาจสร้างที่ห้องรับแขกหรือมุมนั่งเล่น และควรมีหน้าต่างในด้านที่รับลมมากกว่าด้านที่ไม่รับลม (ซึ่งมักเป็นด้านที่รับแดด) รวมทั้งยังควรมีจำนวนหน้าต่างที่พอเหมาะในการรับลมและแสงสว่าง เช่น ห้องนอนไม่ควรมีหน้าต่างจำนวนมากหรือขนาดใหญ่ในทิศตะวันตกและทิศตะวันออก เพราะแสงแดดจากทิศเหล่านี้จะทำให้ห้องร้อน
5. ไลฟ์สไตล์กับประโยชน์ใช้สอยในแปลนบ้าน
ให้คำนึงถึงจำนวนคนและไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว แล้วตัดสินใจว่า ต้องมีห้องอะไรบ้างโดยเฉพาะห้องนอนและห้องน้ำ ควรมีห้องอะไรเพิ่มเติมจากห้องทั่วไปที่ต้องมี เช่น ห้องทำงาน ห้องพระ ห้องแม่บ้าน ห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ รวมทั้งควรมีห้องแต่ละประเภทจำนวนกี่ห้อง โดยลักษณะแบบแปลนบ้านมีการใช้แปลนห้อง 2 ประเภทดังนี้
1. แปลนห้องแบบเปิด
คือ การจัดให้พื้นที่หนึ่งมีมุมใช้สอยหลายอย่าง เช่น ห้องโถงที่ประกอบด้วยบริเวณรับแขก บริเวณทานอาหาร และบริเวณเตรียมอาหาร และห้องนอนขนาดใหญ่ที่ผนวกเป็นห้องนั่งเล่นและห้องทำงานในตัว แปลนห้องแบบนี้มีข้อดีคือ รับแสงสว่างจากธรรมชาติได้ทั่วถึงกว่าแปลนแบบมีพื้นที่ปิด ทำให้ดูมีพื้นที่กว้างขึ้นและสามารถดัดแปลงการใช้สอยสำหรับคนจำนวนมากขึ้นอย่างการจัดปาร์ตี้ได้ ตลอดจนสามารถออกแบบและตกแต่งให้เป็นธีมเดียวกันได้ ทำให้ง่ายและประหยัดงบกว่าการออกแบบและการตกแต่งทีละห้อง แต่มีข้อเสียคือ บริเวณต่าง ๆ นี้มีการใช้สอยแตกต่างกันและการเชื่อมต่อบริเวณเหล่านี้อาจส่งผลกระทบในเรื่องความเป็นระเบียบ ความเป็นส่วนตัว และความสะอาด เช่น อาหารในบริเวณเตรียมอาหารอาจส่งกลิ่นรบกวนแขกในบริเวณรับแขก หรือสามียังเปิดไฟทำงานในบริเวณทำงานแต่รบกวนภรรยาที่ต้องการจะนอนหลับในบริเวณที่นอน เป็นต้น
2. แปลนห้องแบบปิด
คือ การจัดให้ห้องหนึ่งมีพื้นที่ใช้สอยเฉพาะด้าน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ชอบความเป็นส่วนตัวและความเป็นระเบียบ เนื่องจากช่วยจัดให้บ้านเป็นสัดเป็นส่วน ออกแบบธีมแต่ละห้องให้เหมาะกับการใช้สอยและสไตล์ของผู้ใช้ห้องนั้นได้ง่าย ใช้สอยได้ง่าย รวมทั้งดูแลรักษาง่ายได้เช่นกัน ดังนั้นหลายคนจึงนิยมให้บริเวณที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว และห้องพระ เป็นแปลนห้องประเภทนี้ แต่ข้อเสียคือ ต้องใช้งบประมาณมากกว่าแปลนห้องที่เป็นพื้นที่เปิด และอาจไม่ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติมากและทั่วถึงนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดวางหน้าต่างและทิศทางรับแดดด้วย อย่างไรก็ดี ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนที่มีแสงแดดตลอดปี การรับแสงจึงไม่น่าจะมีผลอะไรมากนัก
การหาแปลนบ้านที่ถูกใจใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวนั้นต้องพิจารณาปัจจัยในข้างต้นประกอบกันโดยคำนึงถึงการใช้สอยจริงของคนในครอบครัวเป็นหลัก