คนรุ่นใหม่ชอบเช่ามากกว่าซื้อจริงหรือไม่
ซื้อหรือเช่าอยู่ เชื่อว่าเป็นคำถามที่หลาย ๆ คน เคยครุ่นคิดว่าจะเลือกแบบไหนดี เพราะการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อคอนโดมิเนียม หรือซื้อทาวน์เฮาส์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาระหนักอึ้ง จึงกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนยุคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียล ที่นิยมเช่ามากกว่าซื้อ จริงหรือไม่ และเพราะอะไร
ก่อนอื่นลองมาไล่เรียงกันดูดีกว่าว่าการซื้อกับเช่านั้นต่างก็มีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไรบ้าง
เปรียบเทียบเช่ากับซื้อต่างกันอย่างไร
เช่ากับซื้อต่างกันหลายด้าน แบ่งเป็นหัวข้อหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. เงินก้อน
ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตั้งแต่เริ่มซื้อต้องมีเงินดาวน์ ต้องหาเงินกู้ รวมทั้งค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ผู้ซื้อจึงต้องมีเงินก้อน หรือเงินออมก้อนใหญ่ ต่างจากการเช่าบ้าน หรือเช่าคอนโดมิเนียม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเพียงค่าเช่าล่วงหน้า 1-2 เดือน หรือเงินประกันทรัพย์สินเท่านั้น
2. ค่าใช้จ่ายในการตกแต่ง
หากเป็นโครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่มักขายเป็นบ้านเปล่า ผู้ซื้อจึงต้องเตรียมเงินไว้ตกแต่งบ้าน และหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วย เช่นเดียวกับโครงการคอนโดมิเนียมบางแห่งอาจมีแค่บิลท์อินให้บางส่วน ซึ่งผู้ซื้อจะต้องเตรียมเงินไว้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยเช่นกัน ส่วนการเช่าอยู่ ห้องส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ หรือบางแห่งมีเครื่องไฟฟ้าให้ด้วย
3. ค่าใช้จ่ายในอนาคต
เมื่อซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม แน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเงินผ่อนที่ต้องผ่อนกับธนาคารทุกเดือน ค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือแม้แต่ค่าส่วนกลาง ส่วนการเช่าอยู่นั้นอาจไม่ต้องเสียอะไรเลยนอกจากค่าเช่า เพราะบางแห่งได้รวมค่าส่วนกลางไปแล้ว หรือค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าตกลงกับผู้ให้เช่าไว้อย่างไร บางแห่งจะดูแลส่วนนี้ให้ทั้งหมด
4. ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต
แน่นอนว่าการเช่าอยู่จะมีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะหากมีการเปลี่ยนงาน หรือไม่พอใจก็สามารถโยกย้ายได้ โดยการบอกเลิกสัญญาเช่าล่วงหน้า 1 เดือน แต่หากเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียม หากคิดจะย้ายที่อยู่ ก็ต้องลงประกาศขายบ้านในเว็บไซต์ หรือจ้างเอเจนท์เข้ามาดูแลขายหรือปล่อยเช่า
5. โอกาสในการลงทุนหรือทำกำไร
อ่านมา 4 ข้ออาจจะคิดว่าการซื้อดูแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ข้อดีของการซื้อก็คือความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์นั้น นอกจากนี้ยังสามารถนำบ้านหรือคอนโดมิเนียมนำไปลงทุนหรือทำกำไรได้ ทั้งการขายต่อ หรือปล่อยเช่า ซึ่งหากเช่าอยู่จะไม่สามารถทำได้
เช่ากับซื้อ ต่างชาติคิดเห็นอย่างไร
กลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันก็คือกลุ่มมิลเลนเนียล หรือกลุ่ม Gen Y (Generation Y) อายุ 22-38 ปี ซึ่งหลาย ๆ งานวิจัยชี้ว่าเป็น Generation Rent หรือ Gen Rent เพราะชอบเช่ามากกว่าซื้อ แต่จริง ๆ แล้วมันคือเทรนด์ใหม่จริงหรือไม่
ขอขยายความคิดนี้โดยเริ่มจากชาวต่างชาติก่อนซึ่งอาจเป็นโอกาสที่เราจะได้รู้ถึงแนวคิด และโอกาสในการลงทุนปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติได้
บ้านมีราคาสูงเกินไป
จากผลสำรวจของ Apartment list พบว่า ในปี 2562 ชาวมิลเลนเนียลตั้งใจว่าจะเช่าที่พักอาศัยแบบไม่มีกำหนดเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 12.3% จาก 10.7% ในปีก่อนหน้า และยังพบว่าชาวมิลเลนเนียลมีแนวโน้มที่จะเช่าที่พักอาศัยระยะยาวมากขึ้น และเริ่มการผ่อนซื้อที่พักอาศัยช้ากว่าคนรุ่นก่อน
สาเหตุสำคัญมาจากราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 39% จาก 40 ปีก่อน ขณะที่เงินดาวน์กำหนดไว้ที่ 20% ของราคาที่พักอาศัย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญเนื่องจากมีเพียง 12.9% ของชาวมิลเลนเนียลอเมริกันเท่านั้นที่มีเงินเก็บมากกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีชาวมิลเลนเนียลอเมริกันเพียง 13% ที่มีเงินเก็บมากพอที่จะจ่ายเงินดาวน์บ้าน
ด้านผลวิจัยจาก PwC เปิดเผยว่า ชาวมิลเลนเนียลอังกฤษ เน้นเช่าบ้านมากกว่าซื้อบ้านเป็นของตัวเองเช่นกัน เนื่องจากบ้านมีราคาสูงเกินไปเช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 ลอนดอนจะกลายเป็นเมืองที่มีแต่คนเช่าบ้านอยู่ โดยมีสัดส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจริง ๆ อยู่แค่ 40% เท่านั้น
คนอาเซียนสนใจซื้อมากกว่าเช่า
สิ่งนี้เป็นเพียงความคิดส่วนหนึ่งของคนกลุ่มมิลเลนเนียลฝั่งอเมริกาและยุโรปเท่านั้น ลองมาดูฝั่งเอเชียบ้างว่าคิดเห็นอย่างไร ซึ่งน่าแปลกว่าชาวเอเชีย โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนกลับมองว่าการซื้อดีกว่าเช่า ยกตัวอย่างอินโดนีเซีย จากผลสำรวจของ Rumah.com's Indonesia Consumer Sentiment Study H1 2020 พบว่า ชาวมิลเลนเนียลอินโดนีเซีย สนใจที่จะเช่าบ้านเพียง 2% เท่านั้น โดยส่วนใหญ่ถึง 98% มองว่าซื้อบ้านเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า และ 87% นั้นวางแผนที่จะเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านในอีก 1 ปีข้างหน้า
มิลเลนเนียลชาวไทยชอบเช่าหรือซื้อมากกว่ากัน?
ด้านมิลเลนเนียลไทยนั้นถือว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจมาก จากผลสำรวจของ DDproperty's Thailand Consumer Sentiment Study H1 2020 พบว่า มิลเลนเนียลไทยส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะซื้อบ้านมากกว่าถึง 94% และมีเพียง 6% เท่านั้นที่ต้องการเช่า
นอกจากนี้ เมื่อถามว่าในอีก 1 ปีข้างหน้าวางแผนใช้จ่ายในเรื่องใดบ้าง พบว่า
อันดับ 1 เก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน สูงถึง 79% โดย 53% มีแผนการเก็บเงินที่ชัดเจนในแต่ละเดือน 29% เก็บเท่าที่สามารถเก็บได้ และ 27% มีแผนการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยเพื่อซื้อบ้านหลังแรกในอนาคต
อันดับ 2 ใช้จ่ายกับครอบครัว 69%
อันดับ 3 ใช้จ่ายเพื่อท่องเที่ยว 54%
ทั้งนี้ ชาวมิลเลนเนียลไทยวางแผนที่จะซื้อบ้านของตัวเองในช่วงอายุ 28-35 ปีขึ้นไป หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 32 ปี แต่ส่วนใหญ่จะซื้อบ้านของตัวเองจริง ๆ ในช่วงอายุ 25-30 ปี หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปี โดยเหตุผลส่วนใหญ่ในการซื้อบ้านใหม่ ได้แก่ ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มความสะดวกมากขึ้น และต้องการพื้นที่มากขึ้นสำหรับลูก/พ่อแม่
อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจยังพบว่า ชาวมิลเลนเนียลส่วนหนึ่งยังคงเลือกที่จะอยู่กับพ่อแม่มากกว่าแยกออกมาอยู่อาศัยเอง โดยพบว่า 1 ใน 5 ของกลุ่มนี้ยังเป็นคนโสด และ 1 ใน 6 ของกลุ่มนี้เป็นผู้ที่แต่งงานและมีลูกแล้ว เนื่องจากมองว่าอสังหาริมทรัพย์ยังแพงเกินไป อัตราสินเชื่อบ้านอยู่ในระดับสูง และกังวลเกี่ยวกับมาตรการรัฐที่ไม่เอื้อต่อการซื้อบ้าน และส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
จะเห็นได้ว่าสำหรับคนไทยเองแล้วยังมองบ้านเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิต และชาวมิลเลนเนียลไทย ไม่ใช่ Gen Rent เหมือนกับชาติอื่น ๆ ในฝั่งอเมริกา หรือยุโรป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Gen ไหน หรือชาติไหน ก็ยังอยากที่จะซื้อบ้านมากกว่าเช่าอยู่ดี เพียงแต่ติดอุปสรรคสำคัญคือ "ไม่มีเงิน" ที่จะซื้อ
ด้วยเหตุนี้การเตรียมตัวตั้งแต่การเก็บออม รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับบ้าน การคำนวณเบื้องต้นเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน การขอสินเชื่อบ้าน จึงเป็นเรื่องสำคัญ