ย้ายบ้าน เปลี่ยนที่อยู่บ่อย มีความเครียดที่เด็กต้องแบกรับ
หากพูดถึงความเครียดในเด็ก ส่วนใหญ่แล้วผู้ใหญ่จะไม่ค่อยสนใจว่ามันเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องพูดคุยกันจริง ๆ จัง ๆ อันที่จริงพ่อแม่ผู้ปกครองหลาย ๆ คนไม่ได้ตระหนักด้วยซ้ำว่าเด็ก ๆ ก็มีความเครียดได้เหมือนกัน เพราะพวกเขาเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม ที่วัน ๆ ต้องเจอกับเรื่องต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อจิตใจไม่มากก็น้อย ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้มากหรือเลวร้ายรุนแรงเท่ากับคนวัยผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย จุดนี้ผู้ใหญ่ต้องรู้ว่าเด็กเองก็มีความเครียดได้ไม่ต่างจากผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ไม่ใช่มองว่าเป็นแค่เด็กจะมามีเรื่องเครียดอะไร อย่าเพิ่งคิดว่าพวกเขาเครียดไม่เป็น
ความเครียดในเด็กเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยหนึ่งในนั้นที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะคาดไม่ถึงคือการย้ายที่อยู่บ่อย ๆ อันเนื่องมาจากความจำเป็น เพราะหลายครอบครัวพ่อแม่เป็นข้าราชการหรือทำงานอื่น ๆ ที่ต้องเปลี่ยนหรือย้ายบ้านบ่อย ๆ อยู่ไม่ค่อยติดที่ อยู่ได้ไม่กี่ปีก็ต้องย้ายอีกแล้ว เมื่อย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นที่ไกลออกไป ก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วย เด็กหลายคนกว่าจะเรียนจบเปลี่ยนโรงเรียนใหม่แทบทุกปี การเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ แบบนี้ก็มีผลต่อความเครียดของเด็กเช่นเดียวกัน
บางทีพ่อแม่อาจต้องสังเกตเด็ก ๆ หน่อยว่ามีความผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่ และควรมีวิธีรับมือให้พร้อม ในเมื่อการย้ายบ้านหรือเปลี่ยนที่อยู่เป็นเรื่องจำเป็นที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ก็ต้องไม่ลืมถามไถ่สุขภาพจิตของเด็ก ๆ ด้วยว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง พอใจกับที่ใหม่มากแค่ไหน ไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่า ภายนอกเด็กอาจดูสนุก ตื่นเต้น ท้าทายที่ได้รู้จักใครมากมาย แต่ลึก ๆ แล้วพวกเขาไม่มีเวลามากพอจะสนิทกับใครเลยสักคน
การปรับตัวต้องใช้เวลา
ขนาดผู้ใหญ่ยังต้องใช้เวลาปรับตัวเวลาที่ต้องเข้าไปอยู่ในสังคมใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ทำความรู้จักคนใหม่ ๆ เด็กก็เช่นกัน พวกเขาต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่ข้อจำกัดของเด็กจะแตกต่างจากผู้ใหญ่ตรงที่เด็กไม่ได้มีทักษะในการเข้าสังคมมากเท่าผู้ใหญ่ อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าหาเพื่อนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเด็กที่ย้ายมาใหม่หลายคนมีความกลัว เขินอาย รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตนเองกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่รู้จักกันมานานแล้ว เด็กจะขาดความมั่นใจที่จะเข้าหาเพื่อนคนอื่นที่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มอยู่แล้ว กลัวว่าเพื่อนจะไม่ต้อนรับ กลัวโดนปฏิเสธ กลัวโดนแกล้ง
การเข้าหาเพื่อนใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากนี้ เพื่อนซึ่งก็เป็นเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ได้ยอมรับเข้ากลุ่มได้ง่ายขนาดนั้นเพราะเด็กไม่ได้รู้จักกัน เด็กหลาย ๆ คนก็ไม่ได้คิดว่าต้องรู้จักเพราะตัวเองก็มีเพื่อนอยู่แล้ว แม้จะมีอยู่บ้างเหมือนกันเด็กที่เห่อเพื่อนใหม่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะสนิทกันได้ จึงต้องให้เวลาเด็กทำความรู้จักกันก่อน บางทีกว่าเด็กจะเริ่มคุยกันถูกคออาจใช้เวลาเกือบหมดเทอม และพอจะเข้ากันได้ ก็ย้ายโรงเรียนอีกแล้ว เป็นแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ กว่าเด็กจะโต มันก็ทำให้เขาลำบากใจอยู่ไม่น้อย กว่าจะสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้ อาจทำให้เด็กขาดมิตรภาพที่แน่นแฟ้น ซึ่งขัดกับวัยเรียนรู้ของเด็ก ๆ
เพื่อนที่โรงเรียนใหม่ไม่ได้ดีเสมอไป
ทุกที่มีทั้งเด็กดีและเด็กที่ค่อนข้างเกเร การเจอเพื่อนใหม่ของเด็ก ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเจอกับเพื่อนกลุ่มที่ดีเสมอไป ด้วยความที่มาใหม่ไม่รู้จักใครมาก่อน เจอเพื่อนต้อนรับดีก็ดีไป ถ้าเด็กมีบุคลิกแบบที่เด็กคนอื่นมองว่าน่าแกล้งก็อาจไปเจอเข้ากับวิธีการต้อนรับเพื่อนใหม่ของเด็กที่เกเร ย้ายกี่ที่ก็โดน มีการรังแก กลั่นแกล้ง ความรุนแรงในโรงเรียนล้วนเกิดขึ้นจากเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีเหตุผล ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้สนใจเพราะมองว่าเด็กแค่เล่นกัน และมันก็เป็นไปได้ที่เด็กจะเล่นกันแรงไปหน่อย เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าช่วยเพราะไม่อยากเข้าไปยุ่ง กลัวตัวเองจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ความเครียดจากการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงมักนำมาด้วยการต้องปรับตัว และอย่างที่บอกว่าทุกการปรับตัวต้องอาศัยเวลาสักระยะถึงจะเริ่มคุ้นชิน คุ้นเคย แต่เมื่อเด็กคนหนึ่งต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ อย่างการย้ายโรงเรียน มีเพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่แทบทุกปี พอจะเริ่มชินกับที่นี่ก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่กับสถานที่ใหม่ แม้ว่าในอนาคตมันจะกลายเป็นเป็นภูมิต้านทานในการรับมือความเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น เรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดอยู่กับอะไรทั้งนั้น จึงไม่กระตือรือร้นที่จะผูกมิตรกับใคร แต่ในใจก็รู้สึกสับสน ต้องอยู่ให้ได้ เกิดเป็นความเครียดที่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะไม่สนิทกับใครเลย