“งานบ้าน” อยู่ด้วยกัน บ้านเดียวกัน แต่หน้าที่ใคร
เมื่อพูดถึง “งานบ้าน” หลายคนมีปฏิกิริยาตอบสนองคล้าย ๆ กัน คือ ถอนหายใจพร้อมทำหน้าเหยเก เพราะงานบ้านสำหรับใครหลายคน มันคืองานใหญ่ งานที่ยิ่งทำก็ยิ่งเหนื่อย แต่จะไม่ทำเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน หลังจากที่ผัดวันประกันพรุ่งไปนับครั้งไม่ถ้วน หรืออ้างว่าไม่มีเวลาเสมอ พอถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าไม่สามารถอยู่ในบ้านสภาพแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ชีวิตเริ่มมีสรรพสัตว์ที่ไม่ได้รับเชิญมาอาศัยอยู่ด้วย ก็ต้องจำต้องลุกขึ้นมาจัดการทำความสะอาดกันยกใหญ่ในช่วงวันหยุดเทศกาลที่หยุดยาวหลายวัน งานช้างจึงเกิดขึ้นก็ตรงนี้นี่เอง
จริง ๆ แล้ว การแก้ปัญหาเรื่องงานบ้านนั้นมีทางออกอยู่ไม่กี่ทาง หากคุณเป็นคนโสดที่อยู่บ้านคนเดียว คุณอาจจะต้องทำความสะอาดบ้านที่ตัวเองทำรกเองทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว หรือจะใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการจ้างแม่บ้านที่มีบริการตามเพจเฟซบุ๊กหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ แต่สำหรับบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกันหลายคน ก็อาจจะขอความร่วมมือให้ทุกคนในบ้านช่วยกันทำความสะอาดโดยแบ่งหน้าที่ของใครของมัน และเมื่อถึงช่วงบิ๊กคลีนนิ่งครั้งใหญ่ ก็จะใช้เวลาในช่วงวันหยุดที่ทุกคนอยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตาช่วยกันทำ
แต่สำหรับหลาย ๆ บ้าน การจัดการงานบ้านไม่ได้ง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะกับคู่สามีภรรยา เพราะงานบ้านกลายเป็นชนวนเหตุของการทะเลาะกันที่สร้างความร้าวฉานยืดเยื้อยาวนานไม่จบสิ้น แถมยังกลายเป็นเรื้อรังที่อาจนำไปสู่การหย่าร้างได้ในที่สุดด้วย
งานบ้านเป็น “หน้าที่” ของผู้หญิง?
ปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการที่ชาย-หญิงเกี่ยงกันเรื่องงานบ้าน ส่วนใหญ่มักพบว่าเป็นฝ่ายชายที่ปฏิเสธที่จะช่วยทำงานบ้าน โดยอ้างอิงจากกรอบความคิดแบบโบราณว่า เรื่องงานบ้านและการเลี้ยงลูก เป็นหน้าที่ของผู้หญิง เนื่องจากเมื่อก่อนเพศหญิงไม่ได้มีโอกาสออกไปทำงานนอกบ้านมากเท่ากับทุกวันนี้ และผู้ชายจะเป็นฝ่ายทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ดังนั้น ในเมื่อผู้หญิงอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ จึงรับหน้าที่ทำงานบ้านไปโดยปริยายเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ชายที่ต้องทำงานนอกบ้าน
แต่ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้านไม่ต่างจากผู้ชาย และแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่ที่บ้านเพื่อตั้งหน้าตั้งตาทำงานบ้านอีกต่อไป อย่างไรก็ดี ผู้ชายบางส่วนก็ยังมองว่างานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิงอยู่ดี นั่นหมายความว่าสายตาของผู้ชายที่มีความคิดเช่นนี้ ผู้หญิงต้องทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้านแบบเต็มเวลาคนเดียว เพราะงานบ้านเป็น “หน้าที่ของผู้หญิง” โดยที่ผู้ชายกลุ่มนี้สามารถนิ่งดูดายมองผู้หญิงทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้านได้อย่างไม่รู้สึกอะไร เผลอ ๆ จะหางานให้ทำเพิ่มด้วยซ้ำ จากการที่แค่รับผิดชอบชีวิตตัวเองก็ยังทำไม่ได้
อยู่ด้วยกัน ชายคาเดียวกัน ของก็ใช้ด้วยกัน ก็ต้องช่วยกัน
ในเมื่อชาย-หญิงต่างก็ทำงานนอกบ้านด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองฝ่ายล้วนเหนื่อยมาจากข้างนอกแล้ว ดังนั้น ถ้าผู้หญิงจะต้องเหนื่อยกับงานบ้านเพิ่มขึ้นอีกก็คงจะไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก เพราะพื้นที่ในบ้าน ข้าวของในบ้าน ก็ต่างใช้ด้วยกัน เหนื่อยงานนอกบ้านมาเหมือนกัน ทำไมผู้หญิงจึงต้องมาเหนื่อยเพิ่มอยู่คนเดียวในการรับผิดชอบพื้นที่และข้าวของที่ใช้ด้วยกัน แล้วมันก็เป็นธรรมดาที่คนเราเมื่อเหนื่อยมาก ๆ ก็จะเริ่มอารมณ์ไม่ดี เริ่มหงุดหงิด เมื่อนั้นก็จะเริ่มมีเสียงบ่น เริ่มใช้อารมณ์ จนในที่สุดก็นำไปสู่ความขัดแย้ง หนีไม่พ้นการทะเลาะกันบ้านแทบแตก
ดังนั้น จะดีกว่าหรือไม่หากการทำงานบ้านจะไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถหยิบจับทำได้หมดเมื่อเห็นว่าสมควรที่จะต้องทำ เพราะเราอยู่บ้านหลังเดียวกัน พื้นที่ในบ้านและของใช้ต่าง ๆ ก็ใช้ด้วยกัน การจะปัดว่าเป็นหน้าที่ที่คนใดคนหนึ่งต้องรับผิดชอบเป็นเรื่องที่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวและไม่มีน้ำใจในการอยู่ร่วมกัน และจะดีที่สุดหากเป็นฝ่ายเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือด้วยเหตุผลว่าคนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายขอ ที่พอเหนื่อยมาก ๆ ก็จะเริ่มบ่น เริ่มใช้อารมณ์ จนกลายเป็นการทะเลาะกัน
งานบ้าน ไม่จำเป็นต้องนิยามว่าเป็นหน้าที่ใคร
อันดับแรก ผู้ชาย (บางคน) ต้องเลิกมองว่างานบ้านมีแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่ทำได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ งานบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ถ้าเลือกได้ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่ในเมื่อไม่ทำไม่ได้ ก็ควรช่วยเหลือกันจะดีกว่า เมื่อความหนักของงานบ้านถูกหารออกไปตามจำนวนสมาชิกที่สามารถช่วย ๆ กันทำให้เสร็จไป หยิบจับเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสองอย่าง ความเหนื่อยของใครบางคนก็จะลดลง งานบ้านก็จะเสร็จเร็วขึ้น เมื่อเห็นสภาพบ้านที่น่าอยู่โดยไม่ต้องรอให้เป็นหน้าที่ในมือใครคนหนึ่งต้องทำอยู่เพียงคนเดียว ความสงบสุขในบ้านและสุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย
ไม่ว่าใครในบ้านจะมีทำหน้าที่หลักในการดูแลงานบ้าน คนเหล่านี้ไม่ได้คาดหวังว่าสัดส่วนงานบ้านที่หารกันทำตามจำนวนสมาชิกที่ช่วยเหลืองานบ้านได้จะต้องเท่ากันเป๊ะ ๆ หรอก เพียงแค่ประสงค์ว่าจะช่วยเหลือ ช่วยแบ่งเบาออกไปบ้าง เพื่อที่งานบ้านทั้งหมดไม่ต้องอยู่ในมือของคนคนเดียว หรือให้ใครคนหนึ่งต้องมาเหนื่อยสองเท่าสามเท่า ถ้าเป็นงานบ้านที่ค่อนข้างหนัก จะเสนอตัวทำประจำเลยก็ได้ หากมีลูกก็เป็นการปลูกฝังให้เด็กช่วยทำงานบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งมันควรเป็นจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกันที่ควรจะคิดเองได้ มากกว่าจะตราหน้าว่าเป็นหน้าที่ใคร
การที่คนเราสามารถดูดายเห็นใครคนหนึ่งทำงานบ้านงก ๆ อยู่คนเดียวได้โดยไม่คิดช่วยเหลือ ก็ไม่ต่างจากการที่เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นเหมือนคนรับใช้ที่ทำเท่าไรก็ไม่ได้มีรายได้เพิ่ม ทั้งที่คนผู้นั้นก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านเหมือนกัน ดังนั้น งานบ้านไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายต้องอายหากคิดที่จะทำ หรือรู้สึกแปลกที่ต้องทำ เพราะถ้าอยู่ตัวคนเดียวก็ต้องทำเองอยู่ดี ถ้าไม่ทำเองก็ต้องใช้เงินแก้ปัญหาจ้างคนมาทำให้ โดยลืมนึกไปว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณโยนให้เป็นหน้าที่ของเธอ กลับทำโดยไม่ได้รับค่าจ้างเลยสักสลึงเดียว!