สะใภ้พันล้าน "นุ้ย สุจิรา" กับทริคบริหารชีวิต และการเติมพลังด้วยการถามไถ่ตัวเอง
ผู้หญิงที่ชื่อ "นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ " อาจทำให้หลายๆ คนรู้จักเธอโดยมีจุดเริ่มต้นมาจากตำแหน่งนางสาวไทยในปี 2544 จากนั้นเธอก็เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงทั้งในบทบาทพิธีกรรายการ นักแสดง รวมถึงการเป็นดาวในช่องทางโซเชียล TikTok จึงยิ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักของบุคคลหลากหลายกลุ่ม และล่าสุดเธอยังเป็น Brand Ambassador ให้กับแบรนด์การ์เดี้ยน
ปัจจุบันเธอยังสวมบทบาทเป็นภรรยาของนักธุรกิจ "ปอนด์-ชยพล หลีระพันธ์" และยังเป็นคุณแม่ของน้องรดา กับน้องรพี ดังนั้นในทุกวันนี้เราจึงเห็นได้ว่าชื่อของนุ้ย สุจิราไม่เคยหายไปนับแต่เราได้รู้จักกับเธอ ไม่ว่างานในวงการบันเทิง การเป็นสะใภ้ในตระกูลใหญ่ เรื่องเงินเงินทองทอง สามีและลูก รวมไปถึงการดูแลจิตใจของตนเอง ผู้หญิงที่ชื่อนุ้ย สุจิราจะมีเคล็ดลับบริหารเรื่องราวเหล่านี้อย่างไร
สำหรับคุณคำว่า "สะใภ้พันล้าน" คุณมองว่าเป็นโอกาส หรือข้อจำกัด
เราก็ไม่ได้จำกัดความกับมูลค่าเหล่านั้น เพราะตั้งแต่แรกที่เราเลือกปอนด์เราไม่ได้มองตัวเงิน เรามองว่าเขาเป็นคนดีและใช่สำหรับเรา ถ้าเราจะเริ่มต้นมีชีวิตครอบครัว เราก็เริ่มต้นกับครอบครัวนี้ และถือว่าเราโชคดีเพราะครอบครัวปอนด์ก็น่ารักกับเรา
ผู้หญิงหลายคนมองว่าชีวิตคุณสมบูรณ์แบบ คุณคิดแบบนั้นไหม
เรามองทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดา จริงๆ นุ้ยมีความสุขมากนะ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรดี หรือไม่ดีไปหมด มันมีเรื่องที่ทะเลาะกัน มีเรื่องที่ต้องปรับตัวกันเดินกันมาคนละครึ่งทาง
คุณถือเป็นสะใภ้ของตระกูลดัง มีฐานะ รู้สึกว่าวางตัวยากไหม
จริงๆ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนคบปอนด์ลืมไปเลยด้วยซ้ำเพราะความเป็นเขาทำให้เราลืมว่าเขามาจากตระกูลดัง เพราะทั้งคุณแม่ คุณพ่อเขาเป็นคนธรรมดามากไม่ได้ใช้ชีวิตหวือหวา มีขั้นตอน หรือถือตัว นุ้ยว่าเขาเป็นครอบครัวที่ไม่มีอีโก้ เขาสบายๆ
เรื่องเงินเงิน ทองทองคุณเป็นคนจัดการดูแลทั้งหมดไหม
เรื่องเงินเราแยกกระเป๋ากัน ปอนด์เป็นคนดูแลเรื่องครอบครัวทั้งหมด แต่ถ้ามีอะไรที่จะต้องซัพพอร์ตเราก็จะเข้าไปช่วย และเราจะเป็นคนวางแผนการใช้เงินแบบคิดทุกบาททุกสตางค์ รวมทั้งเมื่อมีลูกเราก็ต้องเซ็ตความคิดเรื่องความขยัน ประหยัด และเงินงอกเงยให้กับลูกด้วย
คุณบอกว่าคุณใช้เงินแบบคิดทุกบาททุกสตางค์ แล้วการซื้อของคุณมีเทคนิคอย่างไร
เวลาจะซื้ออะไรเราคิดว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่า ต้องซื้อสิ่งที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องลูกต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา ใส่ใจทุกอย่างทั้งอาหาร ของใช้ การดูแลสุขภาพ ผิวพรรณต่างๆ ก็พิถีพิถันซึ่งทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเป็นของเคาน์เตอร์แบรนด์เท่านั้น หากเทียบแล้วของที่ซื้อได้ทั้งคุณภาพและราคาที่เหมาะสมก็เลือกซื้อ ถ้าเป็นพวกครีมอาบน้ำ เจลล้างมือ ฯลฯ หากมีงานวิจัยรองรับทดสอบเรื่องไม่มีการแพ้ ของนั้นก็จะเป็นทางเลือกแรกของเรา อีกอย่างตอนนี้เมื่อเราต้องแนะนำสินค้าให้คนอื่นด้วย เราก็จะซีเรียสว่าเราต้องใช้จริง กินจริงเพราะเราให้เกียรติคนที่ติดตามเรา
ส่วนตัวคุณ ถ้ามีรายได้เข้ามา 100 บาท คุณบริหารจัดสรรอย่างไร
อันนี้เป็นแผนการเก็บเงินที่ทำมาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากการออมก่อน 100 บาท แล้วค่อยดูว่าช่วงนั้นมีอะไรน่าลงทุน แล้วต่อด้วยการเช็กว่าค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเรามีตรงไหนก็จะกันไว้ประมาณ 10 % อย่างเงินทำทรีทเมนท์ ค่าเสื้อผ้า ส่วนอีก 10 % เป็นของลูก เช่นของเล่นเสริมพัฒนาการ ส่วนอีก 80 % เราหักไปออม 50 % โดยแบ่งเป็นออมระยะยาว 25 % ระยะสั้น 25 % ส่วนที่เหลืออีก 30 % เป็นเงินออมฉุกเฉิน แต่ถ้าสิ้นปีในส่วนฉุกเฉินไม่ได้ใช้ก็จะนำเข้าไปออม
เพราะอะไรคุณจึงเลือกที่จะแบ่งเงินกันคนละกระเป๋ากับสามี
นุ้ยมองว่าการรวมเงินกระเป๋าเดียวกันเป็นการกดดันเขามากเกินไป เพราะเราเป็นคนชอบทำงานเหมือนกัน ถ้าจะให้เขาหามาอย่างเดียวมันก็เกินไป และเราก็เริ่มจากความเป็นเพื่อนกันมาก่อน เราเลยรู้สึกว่ามันมีความสุขมากกว่าถ้าเราอยากได้อะไรเราก็หามา เมื่อเขาดูแลและให้โอกาสเรา ยอมเสียเวลาดูแลลูกตอนนุ้ยออกไปทำงาน เราก็ควรมาดูแลกันดีกว่า ดังนั้นเขามีสิทธิ์จะใช้เงินที่เขาหามา และทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเองเพราะเรามีลูกด้วยกัน
เรื่องเลี้ยงลูก คุณปลูกฝังเรื่องอะไรเป็นพิเศษให้กับลูกทั้งสองคน
นุ้ยอยากให้เขามีความสุขแบบแข็งแรงทั้งกาย และจิตใจ เมื่อเขาโตขึ้นนุ้ยอยากให้เขามีภูมิคุ้มกัน และก้าวไปได้ เกราะป้องกันด้านร่างกายของเขาเราทำให้ได้แต่ใจเขาก็ต้องมีเกราะป้องกันเหมือนกัน ถ้าเขาจัดการกับทุกข์ได้ก็หมดห่วงเพราะในปัจจุบันปัญหาที่มันจะเข้ามาหาลูกเรานั้นมันง่ายกว่ายุคเรามากบางทีคำวิจารณ์สมัยเรามันอยู่แค่ในโรงเรียน กลุ่มเพื่อน แต่เดี๋ยวนี้เป็นคำวิจารณ์จากใครไม่รู้ มาจากทุกมุมโลก
ระยะหลังคุณดูดีขึ้นมาก มีเคล็ดลับอะไรพิเศษหรือเปล่า
ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยพัง ตอนหลังคลอดตั้งแต่คนแรกเราส่องกระจกก็บอกกับตัวเองว่า "ฉันจะไม่ยอมตายด้วยร่างนี้เด็ดขาด" เราตั้งใจมีลูก 2 คนแล้วค่อยกลับมาดูแลตัวเอง ระหว่างทางเราคิดว่าดูแลตัวเองแล้ว แต่พอถ่ายรูปออกมามันคือการไม่ดูแลตัวเอง เราจึงเริ่มจากการหันมาดูแลตัวเอง โดยเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน จากนั้นก็ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เปลี่ยนสไตล์การแต่งหน้า การแต่งตัวเปลี่ยนตามเทรนด์โลกไม่ใช่เทรนด์เรา แต่ก่อนนุ้ยไม่แต่งตัว แต่งหน้า มั่นใจในหน้าสด แต่เราได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ดาราว่าคนอื่นเขาคาดหวังว่าเราจะเหมือนในทีวี ดังนั้นเราจะต้องดูแลความสุขของคนอื่น ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณไม่ถึง 1 ปี ถ้าเคี่ยวๆ ก็ 6 เดือน
ผู้หญิงหลายคนมีบทบาทหลากหลายเหมือนคุณ อยากฝากอะไรกับพวกเขา
ชีวิตของเรา เรามีโอกาสที่จะมีความสุขเท่ากัน คุณจะเริ่มวันนี้หรือรอไปอีก แล้ววันเหล่านั้นมันจะมาถึงเมื่อไร ถ้าคุณทำอะไรแล้วมีความสุขจงทำ โดยเฉพาะความสุขของตัวเอง บางครั้งการที่เราได้นั่งพัก แช่น้ำอุ่น อาบน้ำกับครีมอาบน้ำหอมๆ แล้วหายใจลึกๆ ก่อน ถือเป็นการเยียวยาสำหรับนุ้ย เพราะเหมือนได้พักผ่อน เหล่ามนุษย์แม่ มนุษย์เมีย เราต้องคอยถามตัวเองว่าเหนื่อยไหม เพราะไม่มีใครถามเราถ้าเหนื่อยเธอมีโอกาสพัก แล้วให้รางวัลกับตัวเอง ทำให้ตัวเองสวยขึ้น มีความสุขที่จะก้าวออกจากบ้านในทุกๆ วัน ทำไปเถอะเรามีชีวิตเดียว