อาการปวดท้องด้านขวากับ 5 โรคที่ผู้หญิงต้องคอยระวัง
อาการปวดท้องไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกวัย แต่วันนี้เราจะชวนผู้หญิงทุกคนมาทำความเข้าใจถึงโรคที่จะต้องระวัง โดยโรคเหล่านี้จะมีอาการที่เหมือนกันนั่นก็คือ ปวดท้องด้านขวา มาดูกันค่ะว่าเมื่อมีอาการปวดท้องด้านขวา จะทำให้เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง
1.นิ่วในถุงน้ำดี
ถุงน้ำดีจะอยู่ที่บริเวณใต้ตับ ดังนั้นเมื่อสาวๆ มีอาการปวดท้องที่ชายโครงขวา โดยอาจจะปวดที่บริเวณใกล้เคียงกับตับ แต่ไม่มีอาการตัวเหลืองหรือตาเหลืองแต่อย่างใด นั่นอาจเป็นไปได้ว่า อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นทางด้านขวานั้นอาจเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
2.ไส้ติ่งอักเสบ
เมื่อมีอาการปวดท้องทางด้านขวา และมีอาการไข้สูง เบื่ออาหาร ท้องเสีย และถ่ายเหลวร่วมด้วย เป็นไปได้ว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ โดยโรคไส้ติ่งอักเสบจะมีอาการในช่วงแรกๆ ที่สังเกตได้นั่นก็คือ มีอาการปวดมวนๆ บริเวณสะดือ และจะค่อยๆ ปวดท้องทางด้านขวา ดังนั้นหากมีอาการในลักษณะนี้ให้รีบไปหาหมอเพื่อตรวจทันที
3.ตับอักเสบ
ตับจะอยู่ที่บริเวณใต้ชายโครงด้านขวา ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดท้องที่ด้านขวา พร้อมทั้งมีภาวะตาเหลืองและตัวเหลือง นั่นอาจเป็นเพราะตับกำลังมีปัญหา ทั้งนี้โรคที่พบได้มากในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับก็คือ โรคตับอักเสบ
4.ปีกมดลูกอักเสบ
ในส่วนของโรคปีกมดลูกอักเสบ จะมีอาการปวดท้องทางด้านขวา แต่ในบางกรณีก็สามารถเกิดอาการปวดท้องทางด้านซ้ายได้เช่นกัน ทั้งนี้โรคปีกมดลูกอักเสบจะมีอาการปวดท้องทางด้านขวาหรือด้านซ้ายร่วมกับอาการตกขาวผิดปกติ และมีไข้สูง หนาวสั่น ซึ่งสาวๆ จะต้องสังเกตสัญญาณเตือนนี้ให้ดี เพราะอาจเป็นอาการของปีกมดลูกอักเสบนั่นเอง
5.นิ่วในไต
เนื่องจากร่างกายของคนเราจะมีไตอยู่ทั้ง 2 ข้าง ดังนั้นนิ่วในไตหรือกรวยไตอักเสบ จะมีอาการปวดท้องได้ทั้งด้านขวาและด้านซ้าย แต่ในกรณีที่มีอาการปวดท้องทางด้านขวาควบคู่กับการมีไข้ขึ้นสูง มีอาการปวดหลัง และปัสสาวะมีสีคล้ำ ซึ่งเป็นไปได้ว่าปัสสาวะสีคล้ำเกิดจากการที่ก้อนนิ่วไปขูดภายในไต จึงส่งผลให้มีเลือดปนมากับปัสสาวะ ดังนั้นหากสังเกตเห็นว่าสีน้ำปัสสาวะมีสีคล้ายน้ำโค้กจางๆ จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในการเป็นโรคเกี่ยวกับไตให้มากๆ
สำหรับสาวๆ ที่มักมีอาการปวดท้องทางด้านขวา ไม่ว่าอาการจะรุนแรงหรือไม่ก็ตาม หากมีอาการปวดท้องด้านขวาบ่อยๆ แนะนำให้สังเกตอาการร่วมที่เกิดขึ้นด้วย หากเจอความผิดปกติใดๆ ก็ตาม ควรรีบไปพบคุณหมอให้เร็วที่สุด เพื่อที่คุณหมอจะสามารถทำการวินิจฉัยโรคและรักษาได้ถูกต้องต่อไป