Ultrasound Markers บ่งชี้โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดตั้งแต่ในครรภ์

Ultrasound Markers บ่งชี้โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดตั้งแต่ในครรภ์

Ultrasound Markers บ่งชี้โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดตั้งแต่ในครรภ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากปัญหาที่พบในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ได้นำไปสู่ความพยายามของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่มุ่งศึกษาค้นคว้าวิจัยจนสามารถคิดค้นนวัตกรรมบ่งชี้อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound Markers) ทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์

ซึ่งมีความไวและความจำเพาะในอัตราสูง ทำให้โอกาสในการรอดชีวิตแรกเกิดสูงขึ้นไปด้วยรองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศนิตรา อนุวุฒินาวิน และแพทย์หญิงธนาภา เรขาวศิน พินนิงตันภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลได้บอกเล่าถึงความสำเร็จจากการคิดค้นนวัตกรรมดังกล่าวซึ่งเป็นผลงานโดยทีมแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องของภาควิชาฯ

ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Ultrasound in Obsterics and Gynecology เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์โดยปกติจะรับเอาเลือดแดงที่ผ่านการฟอกแล้วจากปอดก่อนส่งไปยังสู่หัวใจห้องบนซ้าย และล่างซ้าย จึงจะพร้อมออกไปหล่อเลี้ยงอวัยวะในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและจะส่งเลือดดำที่ใช้แล้วผ่านหัวใจห้องบนขวา ก่อนไหลลงสู่หัวใจห้องล่างขวาและส่งกลับไปยังปอดเพื่อฟอกให้เป็นเลือดแดงอีกครั้ง

ในขณะที่โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด TAPVR (Total Anomalous Pulmonary Venous Return) ซึ่งเป็นโจทย์ที่ใช้ในการทำวิจัยดังกล่าว เป็นอาการที่เกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติตั้งแต่กระบวนการฟอกเลือดแดงออกจากปอดแล้วไม่สามารถส่งต่อไปยังห้องบนซ้ายของหัวใจได้อย่างที่ควรเป็น จนอาจทำให้ทารกแรกเกิด “อาการเขียว” อย่างรุนแรง

โดยทีมแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ค้นพบทางออกของโรคดังกล่าวจากการพยายามที่จะทำให้การวินิจฉัยทารกตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ด้วยวิธีการทำอัลตร้าซาวด์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อจะได้พบความผิดปกติก่อนพิจารณาส่งต่อถึงมือแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจเพื่อทำการผ่าตัดแก้ไขหลังคลอดได้อย่างทันท่วงที โดยการใช้ นวัตกรรมบ่งชี้อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound Markers)

ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ทีมวิจัยได้ค้นพบเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการคัดกรองหาความผิดปกติของโรคดังกล่าวตั้งแต่ในระยะก่อนคลอดอันจะทำให้ทารกได้รับการรักษาในสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ ซึ่งเป็นการนำค่าของระยะด้านหลังของหัวใจห้องบนซ้ายจนถึงหลอดเลือดแดงใหญ่มาหารกับขนาดของหัวใจห้องบนซ้าย จนเกิดเป็นอัตราส่วนค่าหนึ่ง ซึ่งในทารกที่เป็นโรค TAPVR จะมีค่าอัตราส่วนดังกล่าวที่มากกว่าในทารกปกติ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สงสัยโรคนี้มากยิ่งขึ้นและจะมีการตรวจเพิ่มเติมต่อเพื่อให้การวินิจฉัยที่ชัดเจนต่อไป

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมายังพบการเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด TAPVR ไม่บ่อยนักเนื่องเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบน้อยมาก นอกจากนี้ยังเป็นโรคให้การวินิจฉัยก่อนคลอดได้ยากได้น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และยังมีการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวไม่มากจึงทำให้มีรายงานที่เกี่ยวข้องออกมาไม่มากนัก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook