Marriage Strike แบบโสดและมีเงิน เตรียมตัวอย่างไร
“รีบแต่งงานและรีบมีลูกให้ทันใช้” เป็นหนึ่งในค่านิยมที่คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งถูกผู้ใหญ่ปลูกฝังมาตลอด ด้วยความเชื่อที่ว่าการมีลูกคือหลักประกันอย่างหนึ่งในชีวิต ที่ว่าแก่ตัวไปก็จะได้มีลูกมีหลานคอยดูแล อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเช่นนี้ไม่เป็นที่นิยมในสังคมคนรุ่นใหม่สักเท่าไร เพราะคนยุคนี้เชื่อว่าลูกหลานก็ควรจะมีชีวิตของเขาเอง มีภาระตั้งมากมายที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องการที่จะให้ตัวเองไปเป็นภาระของลูกหลานอีก ที่สำคัญ มันก็ควรจะเป็นหน้าที่ของตัวเราเองที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ถึงจะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตก็ต้องดูแลตัวเองได้ เพราะทุกอย่างมันวางแผนได้ตั้งแต่ตัวเราอยู่ในวัยหนุ่มสาว พอแก่ตัวไปก็ได้เก็บเกี่ยวประโยชน์จากสิ่งที่เราทำไว้
นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดส่วนหนึ่งของคนยุคใหม่เท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้ว ยังมีเรื่องของ “เทรนด์คนโสด” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เวลานี้หลายประเทศทั่วโลกเกิดปรากฏการณ์ “Marriage Strike” คือผู้หญิงกลุ่มที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มจะแต่งงานช้าลง รวมไปถึงมีแนวโน้มที่จะ “อยู่เป็นโสดตลอดไป” เพราะระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้ได้รับค่าจ้างในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น พวกเธอเลี้ยงตัวเองได้สบายอยู่แล้ว หากต้องแต่งงานมีลูก ก็จะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการวางแผนที่จะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ไม่แต่งงาน ไม่มีครอบครัว แปลว่าคนกลุ่มนี้จะไม่มีลูกหลานมาคอยดูแลในยามแก่เฒ่าอย่างแน่นอน
สิ่งที่ตามมาก็คือ คำถามที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนชอบถามว่า “ไม่มีลูก แก่ตัวไปจะอยู่อย่างไร” อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่อาจจะสวนกลับได้ว่า “มีลูก ก็ไม่ได้แปลว่าลูกจะเลี้ยง หรือว่าลูกต้องเลี้ยง ทุกอย่างจัดการได้แค่ “มีเงิน”” ฉะนั้น คำถามที่ควรจะถามก็คือ “ถ้าไม่มีเงิน แก่ตัวไปจะอยู่อย่างไร” มากกว่า ดังนั้น เรื่องเงินจึงเป็นสิ่งที่ต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีครอบครัวหรือไม่ ชีวิตของเราเราต้องดูแลรับผิดชอบเอง แต่จะทำอย่างไรกับเรื่องเงิน หากเราเป็นคนโสดในวัยเกษียณ ที่ไม่ใช่แค่การรอเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินชราภาพจากประกันสังคมในแต่ละเดือน
เมื่อคิดที่จะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ถึงจะมีอิสระทางการเงินเต็มที่ เงินของฉันหาเองใช้เอง ก็อย่าลืมเก็บเองด้วย อย่าใช้จ่ายเพลินเกินตัว อย่าละเลยเรื่องเงินทองเด็ดขาด ในวันที่เราทำงานไม่ไหวแล้ว จะต้องไม่เกิดสถานการณ์ที่เรามีเงินไม่พอใช้จ่าย เพราะถึงเวลานั้นจะหันไปพึ่งใครก็ไม่ได้ เราจึงต้องรู้จักโสดวัยเกษียณให้เป็น และโสดวัยเกษียณแบบมีคุณภาพ ดังนั้น คนโสดเองก็ควรมีการคำนวณเงินที่ต้องการใช้ในบั้นปลายชีวิตพร้อมทั้งวางแผนตั้งแต่ยังมีแรงทำงาน ว่าตัวเองจะเป็นคนแก่ที่มีเงินใช้สบาย ๆ แค่ไหน แล้วเราต้องวางแผนสร้างความมั่งคั่งอย่างไรดี
1. วางแผนเรื่อง “เงินออม”
จริง ๆ การวางแผนออมเงินเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ควรทำ ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศใดก็ตาม สถานะโสดหรือสมรส เพราะการออมเป็นจุดเริ่มต้นและพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับชีวิตในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งการออมเงินนั้นไม่ได้มีรูปแบบตายตัว เราสามารถวางแผนออมเงินในแบบที่เราถนัดและสามารถทำได้จริง เนื่องจากจุดประสงค์ในการเก็บออม ก็เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินทั้งในวันนี้และวันหน้าที่ทำงานหาเงินมาออมไม่ไหวแล้ว หลัก ๆ คือเพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีเงินเก็บสำหรับวัยเกษียณ มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน และต่อยอดให้งอกเงยได้
ยิ่งถ้าเราเลือกที่จะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ก็ต้องเตรียมวางแผนการออมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยแก่เฒ่า ไม่มีครอบครัวดูแล อย่างน้อยหากเราเตรียมเงินเกษียณไว้อย่างเพียงพอ เราก็จะสามารถดูแลตัวเราเองได้ เนื่องจาก “ระยะเวลา” เป็นปัจจัยที่สำคัญ เริ่มช้า มูลค่าเงินทบต้นก็ช้า เริ่มเร็ว ก็มีระยะเวลาในการเก็บออมที่นานขึ้น และไม่รู้สึกว่ากดดันมากจนเกินไปกับระยะเวลาที่สั้นลงด้วย โดยทั่วไปมักมีคำแนะนำว่าควรเก็บออม 10-20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนหรือรูปแบบไหนก็ตาม อย่างไรก็ตาม มีวิธีการคำนวณเป้าหมายการออมเพื่อการเกษียณ ว่าถ้าเกษียณไปแล้วอยากจะใช้ชีวิตสบาย ๆ ตามไลฟ์สไตล์ ต้องมีเงินใช้เดือนละเท่าไร ควรมีเงินออมเท่าไร
วิธีการคำนวณง่าย ๆ ว่าเราควรมีเงินออมเท่าไรถึงจะพอใช้ในช่วงหลังเกษียณอย่างไม่ขัดสน คือ (เงินรายเดือนที่จะใช้หลังเกษียณ x 12) x จำนวนปีที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณ เช่น อยากมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท (คิดว่าเพียงพอแล้ว) อยากเกษียณตอนอายุ 60 ปี และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 80 ปี นั่นหมายความว่าเราต้องหาเงินให้พอใช้หลังเกษียณเป็นเวลา 20 ปี คำนวณจาก (20,000 x 12) x 20 = 4,800,000 ถ้าคิดเป็นเลขกลม ๆ ก็ราว ๆ 5 ล้านบาท แต่ออมให้เยอะไว้ก่อนไม่มีปัญหา เหลือดีกว่าขาด และถ้าตอนนี้เราอายุ 30 ปี เราก็จะมีเวลาหาเงินอีก 30 ปีจนกว่าจะเกษียณ ก็ลองหารดูว่าเราควรเก็บเงินเดือนละเท่าไรต่อจากนี้
2. ลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income
นอกจากการออมในรูปแบบที่ได้ผลตอบแทนสูง แนะนำว่าควรจะมีการลงทุนบางอย่างเพื่อสร้างรายได้แบบ Passive Income ควบคู่ไปด้วย ซึ่งการสร้าง Passive Income อีกหนึ่งหนทางในการสร้างรายได้ให้งอกเงย แม้เราจะไม่ได้ทำงานแล้ว เป็นการเอาเงินที่มีอยู่ไปลงทุนเพื่อทำให้จำนวนเงินดังกล่าวงอกเงย หรือมีดอกผลให้เก็บเกี่ยวได้รายเดือนหรือรายปี ให้เงินของเราทำงานไปเรื่อย ๆ แม้ว่าตัวเราจะไม่ได้ทำงานแล้ว แต่ก็ยังมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากลงทุนทำตั้งแต่เนิ่น ๆ มันจะสามารถเป็นรายได้อีกทางที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ ลองศึกษาวิธีการสร้างรายได้แบบ Passive Income มีหลายแบบที่น่าสนใจและสามารถเลือกได้ตามความถนัดของตนเอง
จะเห็นว่าการสร้างรายได้แบบ Passive Income สามารถทำให้เงินไหลเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ ที่สำคัญยังเอาชนะเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยด้อยค่าของเงินในทุก ๆ ปี และยังรวมไปถึงใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อรายได้หรือผลลัพธ์ที่ใหญ่โต เช่น ลงทุนในกองทุนรวม ถ้าชอบความเสี่ยงก็ลองลงทุนหุ้น การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ การซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ การทำลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งเหล่านี้สามารถเริ่มทำได้นอกเหนือจากงานที่เราทำอยู่ ถึงวันนั้นเราสามารถสร้างอิสระทางการเงินของเราได้ และสามารถสร้างรายได้ตลอดเวลา ดังนั้น Passive Income จึงจัดว่าเป็นการวางแผนระยะยาวเพื่อให้มีชีวิตในวัยเกษียณที่มั่นคงอีกทางหนึ่ง
3. ประกันสังคมรองรับวัยเกษียณ
หลายคนอาจลืมนึกถึงเงินประกันสังคมที่เราถูกบังคับให้ต้องจ่ายทุกเดือนจากการถูกหักไปจากเงินเดือนในทุกเดือน แต่จะบอกว่าเงินประกันสังคมนั้นสำคัญมากสำหรับคนวัยเกษียณที่ไม่ได้มีเงินฝากระดับ 10 ล้าน เพราะประกันสังคมจะมีเงินบำนาญ หรือเงินบำเหน็จ (เป็นเงินก้อน) ให้กับลูกจ้างที่เกษียณอายุในวัย 55 ขึ้นไป นอกจากนี้ ประกันสังคมยังเป็นอีกหนึ่งทางออกด้านการรักษาพยาบาล ในกรณีที่คุณต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลแบบที่มีค่าใช้จ่ายสูง ประกันสังคมจะเป็นทางเลือกที่ดีที่จะทำให้คุณไม่ต้องไปแตะต้องเงินสดที่คุณมีอยู่ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นคุณจะรู้สึกดีใจที่ได้จ่ายเงินประกันสังคมมาโดยตลอด แม้ว่าตอนที่เงินถูกหักไปนั้น คุณจะไม่ค่อยชอบใจที่ได้เงินเดือนไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
4. Reverse Mortgage ทางออกสำหรับคนโสดวัยเกษียณที่ไม่มีเงินออม
สำหรับคนโสดที่มีบ้านเป็นของตนเอง พอเกษียณอายุแล้วมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนเพื่อการรักษาสุขภาพ เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม หรือเราอาจเป็นคนโสดวัยเกษียณที่ไม่มีเงินออมเป็นกอบเป็นกำ Reverse Mortgage เป็น “โครงการสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักค้ำประกัน” จะช่วยรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศ และถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้สูงวัยที่ต้องการหลักประกันในช่วงบั้นปลายชีวิต
สินเชื่อ Reverse Mortgage จะต่างจากสินเชื่อทั่วไป เพราะเป็นสินเชื่อที่สถาบันการเงินเปิดให้กับผู้กู้ที่เป็นผู้สูงอายุเท่านั้น โดยให้ผู้สูงอายุนำที่อยู่อาศัยที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองและปลอดภาระหนี้ (ผ่อนชำระหมดแล้ว) กลับมาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน สถาบันการเงินจะจ่ายเงินให้กับผู้กู้ตลอดชีวิต หรือตามระยะเวลาที่ตกลงกัน จำนวนเงินที่ผู้กู้จะได้รับขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้ มูลค่าของที่อยู่อาศัย และอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้สามารถเลือกรับเงินเป็นก้อน รับเงินเป็นรายเดือน หรือเป็นวงเงินพร้อมใช้ก็ได้ วงเงินไม่เกินราคาประเมินของทรัพย์สินที่นำไปค้ำประกัน ซึ่งผู้สูงอายุยังคงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านที่นำมาใช้เป็นหลักประกันได้ตลอดชีวิตโดยยังไม่ต้องชำระคืนสินเชื่อ
โครงการนี้จึงช่วยให้คนโสดที่อยู่ในวัยเกษียณและไม่มีเงินออม แต่ยังพอมีบ้าน หรือคอนโด ได้มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีในช่วงบั้นปลาย โดยไม่ต้องพึ่งพาแต่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเงินชราภาพจากประกันสังคมเพียงอย่างเดียว
5. ทำประกันชีวิต-ประกันสุขภาพ ช่วยลดความเสี่ยง
โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องที่เราคาดเดาไม่ได้ คนที่รักษาสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ จู่ ๆ ยังตรวจพบโรคร้ายได้เลย เพราะฉะนั้น เราจะมองข้ามเรื่องสุขภาพไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งเป็นคนโสดที่แก่ตัวไปไม่มีลูกหลานดูแล เราต้องวางแผนดูแลตัวเองล่วงหน้าอย่างรอบคอบและรัดกุม นอกเหนือไปจากการดูแลสุขภาพของตนเองอย่างการเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อแผนการใช้ชีวิตหลังเกษียณที่สมบูรณ์ และลดค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล การทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพไว้จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี ลองศึกษาและเลือกแผนประกันที่มีวงเงินคุ้มครอง และครอบคลุมอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้มากที่สุด
คนโสดส่วนใหญ่มักคิดว่าการทำประกันชีวิต คือ การทิ้งมรดกให้คนข้างหลัง ก็ในเมื่อฉันโสดนี่…จะทำไปเพื่อใครล่ะ แต่ความจริงแล้วประกันชีวิตเป็นตัวช่วยที่ทำให้คนโสดมีเงินใช้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการเลือกแผนประกัน ดังนั้น ก็ให้เลือกแผนที่เน้นประโยชน์ในการดูแลตัวเองยามเจ็บป่วยอย่างพวกประกันสุขภาพหรือประกันโรคร้าย ซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ แบบที่ใช้เวลาจ่ายเบี้ยไม่นานแต่ได้รับความคุ้มครองนาน หรือประกันบำนาญ
หลายคนอาจคิดไม่ถึงในเรื่องของประกันสุขภาพว่าควรต้องทำ เนื่องจากเข้าใจว่ามันเป็นเบี้ยที่ต้องจ่ายทิ้งต่อปี แต่จริง ๆ แล้วมันคืออีกหลักประกันของตัวเราเองเลยด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีแต่จะเพิ่มขึ้นปีทุกปี ถ้าหากเราเกิดอุบัติเหตุหรือต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินหรือตรวจเจอโรคร้ายขึ้นมา เราจะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เราไม่ได้สำรองไว้ ต้องเอาเงินเก็บมาใช้รักษาตัว บางคนถึงกับหมดตัวเลยทีเดียว ดังนั้น การที่เรามีประกันสุขภาพจะทำให้เราอุ่นใจได้ อีกทั้งยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย
ประกันชีวิต-ประกันสุขภาพ จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนโสดควรวางแผน หากปัญหาสุขภาพมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว มันจะเป็นทางออกฉุกเฉินสำหรับค่ารักษาพยาบาลโดยที่เราไม่ต้องไปแตะในส่วนของเงินเก็บเลย ในขณะที่ยังแข็งแรงดี มีกำลังทรัพย์ ก็อย่าลืมซื้อกรมธรรม์ให้ตัวเองด้วย เพื่อความอุ่นใจในวันข้างหน้า และไม่ต้องเป็นภาระให้แก่ผู้อื่นในอนาคต หรือแม้กระทั่งยามเราเสียชีวิตก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาใช้จ่ายในการจัดงานได้ด้วย
6. มีหนี้ให้รีบปลด
วัยเกษียณคือวัยที่เราเลิกทำงานแล้ว หรือบางคนก็อาจทำได้อยู่แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราทำได้ไม่เท่าเดิม มันไม่เหมือนวัยหนุ่มสาวที่ยังใช้ร่างกายแบบสมบุกสมบันได้ดี ดังนั้น เงินที่เราจะใช้อยู่ใช้กินตอนแก่ก็มาจากการวางแผนทางการเงินทั้งสิ้น อาจจะเป็นเงินเก็บออมสำหรับการเกษียณ หรือเงินที่เป็นดอกผลจากการลงทุน รายได้ที่เข้ามาในลักษณะของ Passive Income เป็นต้น แล้วลองคิดดูว่าถ้าเรายังปลดหนี้ปลดสินไม่หมด โดยเฉพาะหนี้ก้อนใหญ่ ๆ แล้วลากยาวไปจนถึงวัยที่เราเกษียณแล้วนั้น มันจะสร้างความลำบากให้เราแค่ไหนในวัยที่เราหาเงินได้ไม่มากเท่าเมื่อก่อน
เพราะนั่นหมายความว่าเงินส่วนที่เราวางแผนไว้ว่าจะใช้จ่ายอย่างสบาย ๆ ในวัยเกษียณ จะต้องถูกเจียดไปจ่ายหนี้สินที่ยังไม่หมด มันย่อมส่งผลให้ชีวิตในวัยเกษียณของเราอาจไม่สุขสบายตามแผนที่วางไว้ หรืออาจถึงขั้นไม่พอเลยด้วยซ้ำ อย่าลืมว่าการเป็นหนี้มันมีดอกเบี้ยที่วิ่งอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากการวางแผนทางการเงินแล้ว อย่าลืมบริหารจัดการหนี้สินทั้งหมดด้วย หนี้ทุกอย่างควรจะต้องปลดให้ได้ก่อนเกษียณ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีต่อเรามากเท่านั้น เพราะจะทำให้แผนการเงินของเรามีอิสระขึ้น และทำให้ชีวิตในวัยเกษียณของเรามีความสุขได้มากขึ้นด้วย
7. บอกลาไลฟ์สไตล์ฟุ่มเฟือย
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2561 ระบุว่า “คนโสดที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนรายจ่ายที่สูงกว่าคนมีครอบครัว” เสียอีก เมื่อเปรียบเทียบรายจ่ายต่อหัวในด้านต่าง ๆ ของคนโสด ทั้งด้านความบันเทิง ท่องเที่ยว ค่าเดินทาง และอาหาร คนโสดมีค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคต่อรายได้สูงกว่าคนมีครอบครัว (แต่มีสัดส่วนภาระหนี้น้อยกว่า) ถามว่าเป็นเรื่องแปลกไหม? ไม่เลย! เพราะมันเป็นการใช้จ่ายเพื่อหาความสุขของคนโสด พวกเขามีอิสระอย่างเต็มที่ในการใช้จ่ายเพื่อดูแลตัวเองคนเดียว นั่นอาจทำให้เกิดพฤติกรรมมือเติบใช้จ่ายเงินเกินตัวได้ หากไม่ระมัดระวัง
ซึ่งค่านิยมของความฟุ่มเฟือยแบบไม่บันยะบันยัง ทำให้เราใช้จ่ายเกินรายได้ที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะคนโสดที่ไม่มีภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ ไม่มีลูกเป็นภาระ จึงสามารถซื้อของตามใจตัวเองต้องการได้ หลายคนเชื่อว่าเราสามารถใช้เงินซื้อความสุขได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะฟุ่มเฟือยแบบไร้สติ ไร้การควบคุมไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นตัวเราเองที่เดือดร้อน ดังนั้น เราควรควบคุมตนเองให้ได้ว่าอะไรควรจะซื้อ อะไรที่ไม่ควรซื้อ เพราะของบางอย่างที่ซื้อมาอาจจะไม่ใช่ของที่จำเป็นในขณะนั้น หากยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อมาเก็บไว้ ควรตัดใจมองหาสินค้าอื่นที่มีความจำเป็นมากกว่า เพื่อที่จะไม่ใช้เงินแบบสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไม่อย่างนั้นได้นอนเอามือก่ายหน้าผากตามลำพังตอนแก่แน่นอน