มรสุมชีวิตวัย 25 ของ “อิงฟ้า วราหะ”
Highlight
- อิงฟ้าเล่าเรื่องราวในช่วงวัย 25 ปี ที่เปรียบเสมือน “จุดเปลี่ยนชีวิต” ของเธอให้กับชาว Sanook ได้ฟัง ในโอกาสครบรอบ 25 ปีเว็บไซต์ sanook.com
- ชีวิตในวัย 25 ปีของอิงฟ้าไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์เงินเดือนคนอื่น ๆ เธอต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปทำงาน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น แล้วก็กลับบ้านไปอยู่คนเดียว นอนหลับ และตื่นนอนขึ้นมาเพื่อทำทุกอย่างเหมือนวันก่อนหน้า
- ท่ามกลางความมืดมิดของชีวิตวัย 25 ปี ก็ยังมีแสงสว่างที่ทำให้ชีวิตของอิงฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเธอมีโอกาสได้เข้าร่วมรายการ The Voice Thailand
- เมื่อถามถึงโลกในอีก 25 ปีข้างหน้า อิงฟ้าก็ระบุว่าคงเป็นโลกที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงแล้ว โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสิทธิของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
ยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ “อิงฟ้า วราหะ” เจ้าของมงกุฏมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 ผู้มากล้นด้วยความสามารถ และโดดเด่นด้วยรูปร่างหน้าตาที่ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แต่เบื้องหลังรอยยิ้มสวยที่อิงฟ้ามอบให้กับแฟน ๆ อยู่เสมอ กลับซุกซ่อนเรื่องราวชีวิตอันหนักหน่วงที่หล่อหลอมให้เธอกลายเป็น “สาวแกร่งสุดสตรอง” ดังเช่นวันนี้
จากพนักงานออฟฟิศผู้ท้อแท้และเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ถึงขั้นคิดจะบอกลาโลกใบนี้ไป แต่ความฝันที่อยากทำให้ครอบครัวได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ทำให้อิงฟ้าในวัย 25 ฮึดสู้ จนสามารถไขว่คว้าความฝันของตัวเองและของคุณพ่อผู้ล่วงลับได้สำเร็จ และวันนี้ในวัย 28 ปี อิงฟ้าก็พร้อมจะมาเปิดเผยเรื่องราวในช่วงวัย 25 ปี ที่เปรียบเสมือน “จุดเปลี่ยนชีวิต” ของเธอให้กับชาว Sanook ได้ฟัง ในโอกาสครบรอบ 25 ปีเว็บไซต์ sanook.com
เลข 25 ในทัศนะของอิงฟ้า
“ถ้าคิดถึงเลข 25 ก็น่าจะเป็นเรื่องในช่วงชีวิตของเราตอนอายุ 25 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มีทั้งความสนุกและความเครียดอยู่ในนั้น มันเป็นช่วงเวลาแห่งการสับสนว่าเราจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี ช่วงนั้นก็เจอมรสุมชีวิตค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน” อิงฟ้าเริ่มต้นเปิดใจ
ชีวิตในวัย 25 ปีของอิงฟ้าไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์เงินเดือนคนอื่น ๆ เธอต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปทำงาน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น แล้วก็กลับบ้านไปอยู่คนเดียว นอนหลับ และตื่นนอนขึ้นมาเพื่อทำทุกอย่างเหมือนวันก่อนหน้า “ชีวิตวนลูป” จนอิงฟ้ารู้สึกท้อแท้กับชีวิตเสียเหลือเกิน
“เป็นความรู้สึกเหนื่อยมากเลย ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เงินเดือนไม่พอ แล้วก็รู้ว่าว่าชีวิตไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยสักอย่าง”
“ตอนอายุ 25 เป็นช่วงที่คิดสั้นบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ อาจจะเป็นเพราะเรารู้สึกว่าไม่อยากใช้ชีวิตวนลูปเดิม ๆ ไม่อยากเป็นพนักงานออฟฟิศแล้ว ไม่อยากตื่นเช้ามาทำงาน ต้องเจอคนเดิม ๆ เรียกว่าเป็นช่วงที่เราหักเหอยู่พอสมควร แต่ทุกครั้งที่มีความคิดแบบนี้ เราจะฝันถึงคุณพ่อ ตกกลางคืนก็จะฝันเห็นพ่อ แล้วก็จะมีคำพูดในฝันที่เขาจะคอยมาเตือนสติเราว่าอย่าทำนะ” อิงฟ้าเล่า
จุดเปลี่ยนชีวิตท่ามกลางมรสุม
ท่ามกลางความมืดมิดของชีวิตวัย 25 ปี ก็ยังมีแสงสว่างที่ทำให้ชีวิตของอิงฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ความฝันที่เคยวาดฝันเอาไว้ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นความจริงมากขึ้น และชื่อของอิงฟ้าก็ค่อย ๆ มีคนรู้จักมากขึ้น
“ช่วงนั้นไปประกวดรายการ The Voice Thailand ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยน มันเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างวัย 24 - 25 ปี ซึ่งก็ทำให้เรามีหนทางในการไปต่อกับพาร์ทของการเป็นศิลปินได้มากขึ้น เรียกว่าจากพนักงานออฟฟิศ เงินเดือนแทบจะไม่พอใช้ ก็กลายเป็นมีรายได้มากขึ้น แล้วก็ได้ทำงานที่ชอบด้วย”
“มันก็เหมือนเป็นช่วงเบญจเพสของเราเหมือนกันนะ แต่เรามองว่าเบญจเพสก็ไม่ต้องแย่ไปเสียทุกเรื่อง เพราะช่วงที่เราอายุ 25 ปี มันก็มีช่วงเวลาดี ๆ เหมือนกัน ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด เรื่องดีก็คือตอนนั้นเราเคยมีความคิดว่าจะล้มเลิกการประกวด เลิกร้องเพลงไปแล้ว เพราะรู้สึกท้อมาก ไม่ประสบความสำเร็จเสียที จนแม่โทรมาหา บอกว่าจะเลิกจริงเหรอ มันคือความฝันของพ่อ มันคือความฝันของเรานะ ลองไปลุยกับมันสักตั้งก่อนดีไหม เราก็เลยตัดสินใจไปประกวดรายการ The Voice Thailand แล้วก็กลับมาลุยตามความฝันอีกครั้ง แล้วเราก็คิดถูกที่ตัดสินใจกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” อิงฟ้าบอก
เสาหลักของครอบครัว
“ตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่าถ้าอายุ 25 ปี เราน่าจะเริ่มมีทุกอย่างเป็นของตัวเองแล้ว ต้องมีบ้าน มีรถ แล้วพออายุ 27 - 28 ปี ก็ค่อยแต่งงานมีลูก แต่ตอนอายุ 25 ปี เราต้องพร้อมทั้งหมด ทั้งบ้าน รถ และครอบครัวก็ต้องอยู่สุขสบาย”
แม้จะเคยวางอนาคตให้กับช่วงวัย 25 ปี แต่อิงฟ้าก็ยอมรับว่าพอวัย 25 มาถึงจริง ๆ เธอก็ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง และรู้สึกสนุกสนานกับการทำงานอยู่ เนื่องจากยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ทำ เช่นเดียวกับที่ครอบครัวก็ยังไม่ได้สุขสบายอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ดังนั้น อิงฟ้าจึงรับหน้าที่เป็น “เสาหลัก” ของบ้าน และเอาความสุขของตัวเองเก็บเอาทีหลังเสมอ
“เราไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนคนอื่นเลย เพราะเราต้องทำงาน ไม่ค่อยมีโอกาสไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน เรามีหน้าที่ต้องดูแลครอบครัว เป็นเสาหลักของบ้าน แต่เราก็คิดว่าจะไปเที่ยวเมื่อไรก็ได้ แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบนึกถึงตัวเองทีหลังอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอก เราต้องทำอะไรก็ได้ให้ครอบครัวสบายก่อน พอถึงตอนนั้น ถ้าเราอยากจะเที่ยวหรือทำอะไร ก็ค่อยว่ากัน”
อิงฟ้าในวันนี้และในอีก 25 ปีข้างหน้า
มาถึงวันนี้ อิงฟ้าในวัย 28 ปี มองย้อนกลับไปตอนอายุ 25 ปี ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามลงไป เธอบอกว่าไม่อยากใช้คำว่า “คิดสั้น” เพราะเชื่อว่าคนที่ตัดสินใจแบบนั้นก็คงคิดมาอย่างดีแล้ว และนั้นคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“แต่พอเวลาผ่านมา 3 ปี จนเราอายุ 28 เราก็รู้สึกว่าจริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าตอนนั้นเราใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ค่อยมีใคร ไม่ค่อยไปยุ่งกับใคร เราเลยรู้สึกเคว้ง ๆ หน่อย วันนี้ก็เลยรู้สึกดีใจที่ไม่ตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่าม แล้วทำให้เราต้องจบชีวิตลง”
เมื่อถามถึงโลกในอีก 25 ปีข้างหน้า อิงฟ้าก็ระบุว่าคงเป็นโลกที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงแล้ว โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสิทธิของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่เธอย้ำว่าคงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกับชายหญิงแล้วอย่างแน่นอน
“ตอนนั้นตัวเองก็คงอายุ 53 ปี ก็คงปลดเกษียณแล้ว อาจจะมีหลานแล้วก็ได้ ก็อยากพาตัวเองไปเที่ยว ได้ออกไปใช้ชีวิตบ้าง แต่ถ้าเป็นสังคมที่เราอยากเห็น เราก็คงอยากเห็นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น แล้วก็อยากเห็นมุมมองความคิดของคนที่พัฒนาไปด้วยตามเทคโนโลยี อย่างเรื่อง LGBTQIAN+ ที่เราก็อยากเห็นมุมมองใหม่ ๆ เลิกบุลลี่ เลิกดูถูกกัน หรือได้รับการคุ้มครองในเรื่อง ๆ ที่ควรเข้าถึงได้ และอย่างเท่าเทียมกัน” อิงฟ้ากล่าวปิดท้าย