คุณแม่ยุคใหม่ 7 พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อให้เข้าใจลูกมากขึ้น
สวัสดีค่าคุณแม่และว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย แล้วก็สวัสดีชาวซิสทุกคนด้วยค่า~ เดือนนี้เป็นเดือนของวันแม่นะคะ เราก็เลยอยากจะมาคุยกันในเรื่องของแม่ คือแม่เรากับเราก็อายุห่างกันพอสมควร ความคิดความอ่านหรือการใช้ชีวิตของเรากับแม่ก็ไม่เหมือนกันจึงมีบ่อยครั้งที่เราทะเลาะกับแม่หรือแม่ไม่เข้าใจเราเลย ทุกคนน่าจะเคยเจอปัญหาพวกนี้กันมาบ้างใช่ไหมละคะ บทความนี้เราก็เลยขอรวบรวม 7 พฤติกรรม คุณแม่ยุคใหม่ ที่ควรปรับเพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้นมาฝากกันค่า ถ้าอยากจะรู้แล้วว่ามีอะไรบ้างก็มาอ่านกันเลยค่ะ
คุณแม่ยุคใหม่ 7 พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อให้เข้าใจลูกมากขึ้น
คุณแม่ยุคใหม่ ควร ฟังให้เป็น
คุณแม่ต้องยอมรับก่อนนะคะว่าบ่อยครั้งเรามักจะไม่ค่อยฟังเหตุผลลูกเพราะว่าคิดว่าความคิดของลูกมันไม่ถูกต้อง มันไม่โอเค ก็เลยเลือกที่จะพูดและสั่งให้ทำตามใจตัวเองแทน สิ่งนี้เป็นปัญหามากนะคะเพราะว่าเด็กจะรู้สึกว่าต่อไปนี้มีอะไรเขาจะไม่บอกแม่แล้ว แล้วเขาก็อาจจะไปทำสิ่งไม่ดีลับหลังคุณแม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือรับฟังเขาให้มากขึ้นค่ะ เขาพูดอะไรเราต้องฟังก่อน อาจจะไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยยังไงก็ฟังให้จบ เมื่อฟังจบแล้วค่อยพูดหรือบอกความคิดเห็นออกไป อย่าแทรกขึ้นมาว่ามันไม่ดีทั้ง ๆ ที่ลูกยังอธิบายไม่จบนะคะ จำไว้ว่าฟังให้มากขึ้นนะคะ :-D
คุณแม่ยุคใหม่ควรใช้เหตุผลนำอารมณ์
บ่อยครั้งเลยค่ะที่เราจะเห็นคุณแม่บางคนมีน้ำโหโกรธลูกเมื่อลูกทำผิดหรือทำพลาด ใช้อารมณ์ในการจัดการปัญหา บางบ้านก็ใช้การทำร้ายร่างกาย บางคนก็ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ ซึ่งมันไม่มีสิ่งไหนดีและสมควรทำสักอย่างนะคะ ไม่ว่าลูกจะผิดหรือทำไม่ดีในเรื่องอะไร อยากให้คุณแม่ทำแบบข้อแรกคือฟังเขาพูดก่อน หลังจากนั้นสงบสติ สงบจิตใจให้ใจเย็นลง เมื่อใจเย็นลงแล้วก็คิดตามสิ่งที่ลูกพูดนะคะว่ามันเป็นยังไง ถ้ามันดีหรือไม่ดีก็ต้องให้เหตุผลเขาไปว่ามันไม่ดีแบบนี้นะ มันโอเคแล้วอย่างนั้นนะ ถ้าจะทำโทษก็อย่าใช้ความรุนแรงอาจจะใช้วิธีอื่น ๆ เช่น หักค่าขนมนิดหน่อยหรือให้ช่วยทำความสะอาดบ้านอะไรแบบนี้ก็ได้นะคะ เด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องโตมากับการใช้กำลังให้เจ็บตัวนะคะ ♥
คุณแม่ยุคใหม่ต้องเข้าใจ ว่ายุคเรากับลูกต่างกัน
ต้องบอกเลยว่าคุณแม่หลายคนมาก ๆ นะคะที่ชอบอ้างยุคสมัยว่าสมัยแม่นะแม่ทำแบบนั้นแบบนี้ สมัยนี้นะบลา ๆ ซึ่งกับบางเรื่องมันอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ แต่บางเรื่องความคิดในยุคสมัยก่อนมันก็ไม่ได้ถูกต้องหรือสมควรทำแล้ว เช่น สมัยก่อนเมื่อลูกทำผิดต้องตีให้จำ แต่สมัยนี้การตีเป็นอะไรที่คนแบนกันเยอะมากนะคะ เขามองว่าเราทำโทษเด็กได้หลายวิธีมาก ๆ ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความรุนแรง เป็นต้น ดังนั้นอย่าใช้เลนส์มุมมองความคิดในสมัยของคุณแม่มองสมัยของลูกนะคะ เดี๋ยวนี้โลกมันพัฒนาไปไกลมาก ๆ แล้ว ความคิดหรือความเชื่อเก่า ๆ บางอย่างมันก็พิสูจน์ได้ว่ามันไม่ดี คุณแม่ก็ลองฟังเหตุผลลูก ๆ แล้วคิดตามดูนะคะ บางทีอาจจะได้มุมมองใหม่ ๆ ก็ได้น้า
คุณแม่ยุคใหม่ไม่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่น
สิ่งที่เด็ก ๆ หรือลูก ๆ หลายบ้านเห็นตรงกันมาก ๆ ว่าคุณแม่ได้โปรดเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ด่วน ๆ นั่นคือการเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกบ้านคนอื่นเลยค่ะ เราเข้าใจคุณแม่นะคะว่าอาจจะคาดหวังให้ลูกเป็นแบบนั้น ทำอย่างนี้ คิดแบบนี้เลยต้องเอ่ยยกตัวอย่างใครสักคนขึ้นมาว่าทำไมลูกไม่เป็นแบบเขาบ้าง ไม่เป็นแบบที่แม่คาดหวังจะให้เป็นบ้าง แต่คุณแม่รู้ไหมคะว่าการโดนคาดหวังมันรู้สึกแย่มากนะคะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำให้คุณแม่นะคะสิ่งที่คุณแม่ขอ แต่เขาอาจจะพยายามแล้วหรือเขาอาจจะไม่ชอบมันเลยก็ได้เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ การแก้ไขปัญหานี้คือรับฟังลูกค่ะว่าเขารู้สึกยังไง แล้วก็อย่าไปคาดหวัง อย่าไปคิดว่าลูกคนอื่นดีกว่าลูกเรายังไง คิดแค่ว่าทำยังไงให้ลูกมีความสุข อยู่กับเราแล้วสบายใจที่สุดจะดีกว่า เพราะเขาคือสิ่งสำคัญที่สุดใช่ไหมละคะ ถ้าไม่อยากเห็นเขาเสียใจหรือต้องมาทะเลาะกันก็ปล่อยวางดีกว่านะคะ :-)
คุณแม่ยุคใหม่ควรรู้ เรื่องในบ้านอย่าเล่าให้ใครฟัง
เข้าใจคุณแม่สายเมาท์มอยมากนะคะ มีอะไรก็ชอบเล่าไปซะหมด แต่เรื่องบางเรื่องที่ลูกตั้งใจมาเล่าให้ฟังเขาก็ไม่อยากจะให้แม่ไปเล่าให้ใครฟังมั่ว ๆ นะคะ ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหรือเรื่องของลูกให้คนอื่นฟัง คนอื่นไม่ใช่แค่คนนอกบ้านนะคะ คนในบ้านก็นับเหมือนกัน เพราะถ้าเขาสะดวกใจจะบอกคนในบ้านเขาจะไม่มาคุยกับคุณแม่เป็นการส่วนตัวหรอกนะคะ รู้แบบนี้แล้วคุณแม่ก็เล่าหรือเมาท์แค่บางเรื่องก็พอนะคะ เรื่องไหนที่ไม่สมควรเล่าหรือลูกมาปรึกษาแบบลับ ๆ ก็ไม่ต้องเอามาพูดจะดีกว่าน้า
คุณแม่ยุคใหม่อย่าละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูก
ว่าก็ว่านะคะสิ่งนี้คนเป็นแม่หลาย ๆ คนไม่เข้าใจเท่าไหร่ ยกตัวอย่างที่เป็นปัญหาบ่อย ๆ เลยคือการเปิดประตูห้องนอนเข้ามาแบบไม่ขออนุญาต โดยปกติเวลาเราจะเข้าห้องใครเราก็ควรขออนุญาตไม่พรวดพราดเข้ามาถ้าไม่มีอะไรสำคัญ แล้วอีกอย่างคือถ้าลูกไม่อยู่ ถ้าไม่ได้มาทำความสะอาดอยากขอคุณแม่เลยนะคะว่าอย่ารื้อค้นอะไรของลูก ในเมื่อลูกไม่เคยมาค้นของแม่ แม่ก็อย่าค้นของลูกจะดีกว่านะคะ ของบางอย่างมันก็สงวนไว้รู้แค่ตัวเราเองก็พอ อ้อ! อีกสิ่งที่อยากขอร้องคุณแม่ทุกคนที่มีความคิดจะติดกล้องวงจรปิดในห้องลูกว่าอย่าเป็นอันขาดนะคะ เด็กจะรู้สึกระแวงและกลัวการกระทำทุกอย่างไปหมด ดังนั้นห่วงเขาก็เอาแค่พอดีนะคะ
คุณแม่ยุคใหม่อย่าล้อเลียน หรือเมคฟันในสิ่งที่ลูกเป็นทุกข์
การล้อเลียนหรือหยิบเรื่องทุกข์ ปมด้อยของลูกมาพูดให้มันตลกทั้ง ๆ ที่คนโดนไม่ตลกด้วย สิ่งนี้ไม่ควรทำมาก ๆ เลยนะคะ ขนาดคนสนิทกันยังรู้สึกแย่ ถ้าเป็นคุณแม่ทำลูก ๆ จะรู้สึกแย่ขนาดไหนจริงไหมคะ? แซวเล่นก็แซวได้ค่ะแต่ต้องรู้ว่าอะไรควรแซวอะไรไม่ควรแซว อย่างเรื่องอ้วน/ผอม เป็นสิว ผิวคล้ำ ตาตี่ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับร่างกายนี่ไม่ควรเอามาขำขันเลยนะคะ เพราะลูก ๆ อาจจะรู้สึกเสียเซลฟ์ หรือรู้สึกแย่ก็ได้ว่าสิ่งที่เขาเป็นมันแย่มากเลยเหรอ แล้วอีกอย่างคือเด็ก ๆ ความรู้สึกไม่เท่ากันนะคะ เด็กบางคนอาจจะไม่แคร์แต่บางคนเสียใจร้องไห้ถึงกับอยากทำร้ายตัวเองก็มี อย่าลืมว่าคำพูดเป็นดาบสองคม นะคะ
ครบทั้ง 7 ข้อแล้วนะคะ บอกเลยว่ารวบรวมจากการเห็น การเจอด้วยตัวเองและอ่านความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ตบ่อย ๆ ก็เลยขอรวบรวมมาบอก คุณแม่ยุคใหม่ หรือว่าที่คุณแม่ที่จะเลี้ยงลูกในอนาคตว่าถ้าทำพฤติกรรมแบบที่เราแนะนำยังไงลูกก็สบายใจนะคะ และเมื่อเขาสบายใจ มีอะไรเขาก็จะมาเล่าและมาบอกให้ฟัง จะไม่มีปัญหาเรื่องลูกแอบไปทำอะไรลับหลังเลยด้วย คุณแม่รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมลองสำรวจตัวเอง และปรับเปลี่ยนเพื่อให้ลูก ๆ มีความสุขเวลาอยู่กับคุณแม่ ไม่ต้องมานั่งเกร็งหรือไม่อยากคุยด้วย เป็นแบบนั้นบรรยากาศไม่โอเคเลยเนอะ ยังไงก็ขอให้คุณแม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสำเร็จนะคะ ส่วนถ้าใครเป็นคุณลูกที่แวะมาอ่านอยากจะแชร์ไปบอกคุณแม่ก็แชร์ได้นะคะ ยินดีมาก ๆ เลย ส่วนตอนนี้เราขอตัวลาไปก่อน สุขสันต์วันแม่นะคะทุกคน