เข้าใจผิดมาตลอด "เลือดข้น" ไม่ได้เกิดจากการดื่มน้ำน้อย
มีความเชื่อกันทั่วไปว่า การกินน้ำน้อยจะทำให้เลือดข้น เลือดหนืด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันและโรคหลอดเลือดสมอง แต่ความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง การดื่มน้ำน้อยเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้เลือดข้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เลือดประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลวที่เรียกว่าพลาสมา และส่วนที่เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เลือดจะมีความหนืดหรือข้นขึ้นเมื่อปริมาณของพลาสมาลดลง สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเลือดข้นมีดังนี้
- ปริมาณน้ำในร่างกายลดลง
- การสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ
- ความเข้มข้นของโปรตีนในเลือดเพิ่มขึ้น
การดื่มน้ำน้อยทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลง ซึ่งจะส่งผลทำให้ปริมาณพลาสมาลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้เลือดมีความหนืดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำน้อยเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้ปริมาณพลาสมาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่ทำให้เกิดภาวะเลือดข้น
สาเหตุที่แท้จริงของภาวะเลือดข้น เกิดจากพลาสม่า หรือของเหลวในร่างกาย จำพวกเซลล์เม็ดเลือด โปรตีน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน สารต่างๆ และน้ำลดลง โดยร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลได้ทัน และไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในปริมาณที่มากเกินไป
หากมีอาการของภาวะเลือดข้น เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เหนื่อยล้า ชา หรือบวมที่มือและเท้า ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
วิธีป้องกันภาวะเลือดข้นมีดังนี้
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ยาบางชนิด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ปริมาณน้ำที่เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่คือ 8-12 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำที่เพียงพออาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาพอากาศ ระดับกิจกรรม และสุขภาพโดยรวม
หากไม่แน่ใจว่าควรดื่มน้ำมากน้อยแค่ไหน ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ