"เครื่องสำอาง" กับ "เวชสำอาง" แตกต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน
ในวงการสกินแคร์ที่มีผลิตภัณฑ์วางขายมากมาย การเลือกตัวที่เหมาะกับเรานั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะผลิตภัณฑ์หลายตัวมักโฆษณาว่าเป็นคำตอบสำหรับผิวของคุณ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนที่จะมอบผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ?
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ เครื่องสำอาง (Cosmetics) และเวชสำอาง (Cosmeceuticals) ซึ่งการตัดสินใจว่าคุณต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทไหนเป็นสิ่งสำคัญแรกในการเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสม อะไรคือความแตกต่างระหว่างเครื่องสำอาง กับเวชสำอาง เรามีคำตอบ รวมถึงการเลือกใช้ให้ถูกกับปัญหานั้นอาจจะซับซ้อนเล็กน้อย บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเหล่านี้และแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคุณ
เครื่องสำอางกับเวชสำอางแตกต่างกันอย่างไร
เครื่องสำอางคืออะไร
เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับชั้นนอกสุดของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า "หนังกำพร้า" เท่านั้น
เนื่องจากเครื่องสำอางไม่สามารถซึมผ่านหนังกำพร้าไปยังชั้นหนังแท้ได้ จึงไม่สามารถรักษาโรคหรือปัญหาผิวหนังเฉพาะที่ได้โดยตรง อย่างไรก็ดี เครื่องสำอางมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ปกป้อง และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของผิวชั่วคราว
นอกจากนี้ เครื่องสำอางยังเหมาะสำหรับการเพิ่มกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้กับผิวอีกด้วย
ตัวอย่างของเครื่องสำอาง
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น สบู่ สบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม และคลีนเซอร์สำหรับผิวหน้า
- ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้น เช่น โลชั่นและครีม
- มาส์กหน้า
- ผลิตภัณฑ์แต่งหน้า เช่น แป้ง อายแชโดว์ รองพื้น มาสคาร่า และลิปสติก
- ผลิตภัณฑ์ย้อมผม
- ผลิตภัณฑ์ทาเล็บ
- ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและดับกลิ่น
- น้ำหอม
ข้อจำกัดของเครื่องสำอาง
แม้ว่าเครื่องสำอางบางชนิดจะมีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ แต่ปริมาณของส่วนผสมเหล่านี้มักไม่เพียงพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานหรือเปลี่ยนแปลงผิวอย่างเห็นได้ชัด
สรุป: เครื่องสำอางสามารถทำความสะอาด ปกป้อง และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของผิวชั่วคราว แต่ไม่สามารถรักษาโรคหรือปัญหาผิวหนังเฉพาะที่ได้โดยตรง และผลลัพธ์ที่ได้มักไม่ยาวนาน
เวชสำอางคืออะไร
เวชสำอาง (Cosmeceuticals) เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพสูงและออกฤทธิ์ยาวนานกว่าเครื่องสำอางทั่วไป ในขณะที่เครื่องสำอางสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าปลีก แต่เวชสำอางมักต้องได้รับใบสั่งยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเวชสำอางมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์เข้มข้น ที่สามารถซึมผ่านชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ลงไปสู่ชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ลึกกว่า
ด้วยคุณสมบัติที่ทรงประสิทธิภาพ เวชสำอางส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เช่น แพทย์ พยาบาล แพทย์ผิวหนัง นักเสริมความงาม หรือศัลยแพทย์ตกแต่ง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักถูกสั่งใช้เพื่อรักษาปัญหาผิวหนังเฉพาะจุด เนื่องจากมีส่วนผสมที่เข้มข้น เวชสำอางจึงช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงใต้ชั้นผิวหนัง
หลังการใช้เวชสำอาง ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความคงอยู่ยาวนานกว่าการใช้เครื่องสำอางทั่วไป ตัวอย่างเช่น ผิวที่ได้รับความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก ผิวหน้าที่สว่างกระจ่างใสขึ้น และริ้วรอยต่างๆ ลดเลือนลงอย่างชัดเจน ผลิตภัณฑ์เวชสำอางบางตัวอย่างเช่น เซรั่ม ครีม และเวชภัณฑ์ (Dermaceutical Products)
เครื่องสำอาง vs. เวชสำอาง: คุณควรใช้อะไร?
เมื่อคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างเครื่องสำอางและเวชสำอางแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจเลือกประเภทที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ต่อไปนี้เป็นปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก
1. ปัญหาผิวของคุณ
- เครื่องสำอาง: เหมาะสำหรับผิวทั่วไปที่ต้องการความชุ่มชื้น การปกป้อง และการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ชั่วคราว
- เวชสำอาง: เหมาะสำหรับปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น สิว ฝ้า กระ ริ้วรอย หรือปัญหาผิวอักเสบ
2. ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- เครื่องสำอาง: ผลลัพธ์ที่ได้มักไม่ยาวนานและเปลี่ยนแปลงผิวอย่างเห็นได้ชัด
- เวชสำอาง: ผลลัพธ์ที่ได้มักมีประสิทธิภาพสูงและยาวนาน ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวอย่างเห็นได้ชัด
3. ค่าใช้จ่าย
- เครื่องสำอาง: มักมีราคาถูกกว่า
- เวชสำอาง: มักมีราคาสูงกว่า เนื่องจากมีส่วนผสมที่เข้มข้น
4. รูปแบบการรักษา
- เครื่องสำอาง: สามารถใช้เองได้
- เวชสำอาง: ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สรุป:
- เครื่องสำอาง: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำความสะอาด ปกป้อง และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของผิวชั่วคราว
- เวชสำอาง: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเฉพาะจุด ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน และยินดีจ่ายในราคาที่สูงกว่า
คำแนะนำ:
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
- อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนใช้งาน
- ทดสอบผลิตภัณฑ์บนบริเวณผิวหนังเล็กๆ ก่อนใช้บนใบหน้า