รู้หรือยัง? เรื่องของ น้ำ อย่างนี้ก็มีด้วย
คอลัมน์ สรรหามาขยาย
ใครๆ ก็รู้ว่า "น้ำ" มีความสำคัญต่อมนุษย์ โดยเฉพาะน้ำจืดที่เรานำมาใช้ในด้านการเกษตร อุตสาหกรรม บ้านเรือน นันทนาการ และกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย แต่น้ำจืดในโลกเรามีเพียงร้อยละ 2.5 เท่านั้น แถม 2 ใน 3 ของน้ำจืดยังอยู่ในรูปของน้ำแข็งโดยเฉพาะในขั้วโลกทั้งสองอีกต่างหาก
นอกจากการอุปโภคแล้วมนุษย์ยังต้องบริโภคน้ำเข้าไปเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายหลักสำหรับอาหารที่ผ่านกระบวนการย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลในร่างกาย ฯลฯ โดยเฉลี่ยคนเราจะรับน้ำเข้าร่างกายวันละ 2.4 ลิตร 1.4 ลิตรเป็นน้ำที่เราดื่มเข้าไป และอีก 1 ลิตรมาจากอาหาร เมื่อดื่มแล้วก็ขับออก
ว่ากันว่าปัสสาวะของคนทั้งโลกใน 1 วัน มีปริมาณมากพอที่จะปล่อยให้ไหลลงจากน้ำตกไนแองการ่าอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 นาที ... ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ กลิ่นคงใช้ได้เลยล่ะ (ฮา) ถ้างั้นลองไปดูว่า เรื่องเกี่ยวกับ "น้ำ" ที่เรานำมาขยายในวันนี้ คุณรู้กันหรือยัง
ดื่มน้ำช่วยลดอ้วนได้จริงหรือ?
แปลกแต่จริงที่น้ำสามารถเป็นตัวช่วยในการกำจัดจุดอ้วนได้ เนื่องจากคนที่ดื่มน้ำไม่พอมักหิวบ่อยๆ ขณะที่คนได้รับน้ำเพียงพอจะไม่ค่อยหิว ดังนั้น ยิ่งอยากลดความอ้วนให้ได้ผลก็ยิ่งต้องดื่มน้ำ เพื่อช่วยในการเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้ น้ำยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ต้นเหตุริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ ฯลฯ ข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาของสหรัฐอเมริการะบุว่า หากกระหายน้ำจากการออกกำลังกายหรืออากาศที่ร้อนจัด ต้องดื่มน้ำเย็นที่มีอุณหภูมิ 15-22 องศาเซลเซียส เพราะการดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยน้ำ 1 แก้วจะช่วยเผาผลาญไขมันประมาณ 9 กิโลแคลอรี ขณะที่หากดื่มน้ำน้อยตัวจะยิ่งบวมเพราะร่างกายพยายามเก็บน้ำไว้ จนทำให้มีอาการบวมน้ำทำให้เราดูอ้วนขึ้น มีเซลลูไลท์ง่ายขึ้น
ดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้สมองเสียหายได้?
ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม ถ้าหากดื่มน้ำมากๆ ไตจะสามาถรับมือได้ในระดับหนึ่ง แต่หากเราดื่มมากๆ จนไตไม่สามารถรับได้ แล้ว น้ำก็จะล้น เนื้อเยื่อมากมายในร่างกายรวมทั้งเนื้อเยื่อสมองจะเกิดอาการบวมน้ำ ทำให้เกิดอาการสมองบวม (brain oedema) ซึ่งหากดื่มไม่หยุดก็อาจเสียชีวิตได้ อันนี้ไม่เกี่ยวกับการดื่มเหล้าในปริมาณมาก เพราะที่ดื่มจนตายอาจเป็นเพราะเมาจนอาเจียนอย่างแรง และเกิดอาการสำลักจนตาย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมีแอลกอฮอล์ในกระแสโลหิตมากเกินไปนั่นเอง ...แต่ดื่มแบบไหนมากก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ!
ดื่มน้ำกลั่นอันตราย!
แม้ว่าน้ำประปาจากก๊อกน้ำจะเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างมาก แต่หากสะอาดจนเกินไปก็อันตรายได้เช่นกัน โดยเฉพาะ "น้ำกลั่น" ที่แม้จะกำจัดสารเคมีตกค้างในน้ำประปาให้หมดไปได้ แต่จะได้น้ำซึ่งไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ละลายอยู่เลย ถ้าหากดื่มเข้าไปเป็นประจำจะเกิดการดึงแร่ธาตุที่จำเป็นซึ่งสะสมอยู่ตามอวัยวะของร่างกาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และเกลือแร่อื่น ๆ ออกไป ทำให้อวัยวะนั้น ๆ ขาดเกลือแร่ ที่สำคัญ มีงานวิจัยระบุว่า การดึงธาตุแคลเซียมออกจากกระดูกและหัวใจอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน และการที่กล้ามเนื้อหัวใจมีแคลเซียม แมกนีเซียม ไม่พอจะทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาได้
น้ำตาก็มีดี
บทเจ้าน้ำตาซึ่งดูอ่อนแอ แต่บางครั้งก็มีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อเราปล่อยโฮ นอกจากจะปลดปล่อยอารมณ์และบรรเทาความเครียดแล้ว "น้ำตา" จากการร้องไห้ยังช่วยชะล้างสิ่งที่เป็นพิษออกจากตา เช่น เกลือที่ถูกกำจัดออกมาพร้อมน้ำตา อองตวน ลาโวซิเยร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศส ใช้วิธีวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับน้ำตาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1791 พบว่าน้ำตาประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) และเกลือชนิดอื่นอีกหลายชนิด แต่ความลับของน้ำตาก็ยังมีอีกมากที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้...ก็ไม่รู้สินะว่าทำไม?
น้ำจากฝักบัวเสี่ยงโรค
เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เรามักไม่ค่อยใส่ใจกันเท่าไหร่ แต่หลายคนก็ไม่รู้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ค้นพบว่ามีแบคทีเรีย มายโคแบคทีเรียเอเวียม (Mycobacterium Avium) สะสมอยู่ในหัวฝักบัวมากกว่าบริเวณอื่น เนื่องจากสภาวะที่เหมาะสม ทั้งความชื้นอุณหภูมิและไม่มีแสง ช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้สร้างไบโอฟิล์ม (Biofilms) ที่ทำหน้าที่คล้ายตัวยึดจับเกาะกับฝักบัว ทำให้กำจัดออกยาก แบคทีเรียดังกล่าวเป็นสาเหตุของโรคปอด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อย ไอแห้ง ไอเรื้อรัง หายใจลำบากและหมดแรง
ผลจากการศึกษาจากโรงพยาบาลยิวแห่งชาติ พบว่ามีการติดเชื้อในปอดเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อมีการหายใจหรือสำลักเข้าไป และยังชี้ว่าปริมาณที่พบในฝักบัวนั้นมีมากกว่าปริมาณที่พบในน้ำจากก๊อกของบ้านทั่วๆ ไป 100 เท่า และการพ่นฝอยของน้ำจากฝักบัวเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้เชื้อกระจายตัวไปในอากาศและเข้าสู่ปอดได้ง่าย เชื้อดังกล่าวเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดโรคในปอดและทางเดินอาหาร ภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ และผู้ที่บำบัดมะเร็ง หรือเพิ่งปลูกถ่ายอวัยวะ ส่วนคนที่ร่างกายแข็งแรงไม่ใช่สิ่งที่กังวลมากนัก
การหลีกเลี่ยงสำคัญ อยู่ที่การเลือกใช้ฝักบัวที่เป็นโลหะ เพราะจุลินทรีย์จะเติบโตได้ยากกว่าฝักบัวพลาสติก นอกจากนี้ ยังควรหมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และก่อนจะเปิดใช้ฝักบัวควรปล่อยน้ำที่ค้างทิ้งก่อนเสมอ
เป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับน้ำที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ (หน้าพิเศษ Hospital Healthcare)
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.thinkstockphotos.com