อาหาร 1 คำ เคี้ยวกี่ครั้ง ส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวม

อาหาร 1 คำ เคี้ยวกี่ครั้ง ส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวม

อาหาร 1 คำ เคี้ยวกี่ครั้ง ส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อพูดถึงการกิน หลายคนคงนึกถึงกระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้ แต่รู้หรือไม่ว่า กระบวนการย่อยอาหารทั้งหมดนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ในช่องปากของเราแล้ว โดยอาศัยกลไกการบดเคี้ยว การบดเคี้ยวอาหาร ช่วยให้ชิ้นอาหารแตกเป็นชิ้นเล็กลง ซึ่งง่ายต่อการย่อย เมื่ออาหารคลุกเคล้ากับน้ำลาย การบดเคี้ยวจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารจากอาหารที่เรากินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเคี้ยวอาหาร 32 ครั้ง

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการให้ความสำคัญกับการเคี้ยวอาหารเป็นอย่างมาก คำแนะนำทั่วไปคือควรเคี้ยวอาหารประมาณ 32 ครั้งก่อนกลืน อย่างไรก็ตามจำนวนครั้งที่เคี้ยวอาหารอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร อาหารที่นิ่มและมีน้ำ จะใช้เวลากัดเคี้ยวเพียงเล็กน้อย

เป้าหมายหลักของการเคี้ยวคือ เพื่อบดเคี้ยวอาหารจนสูญเสียเนื้อสัมผัส โดยทั่วไปแล้ว คำแนะนำให้เคี้ยวอาหาร 32 ครั้ง นั้นใช้กับอาหารส่วนใหญ่

สำหรับอาหารที่เคี้ยวยาก เช่น เนื้อสเต็ก ถั่วเปลือกแข็ง อาจต้องใช้เวลาเคี้ยวมากถึง 40 ครั้งต่อคำ ในทางกลับกันอาหารที่มีน้ำเยอะ เช่น แตงโม อาจใช้เวลาเคี้ยวเพียง 10-15 ครั้งก็เพียงพอ

ประโยชน์ของการเคี้ยวอาหาร 32 ครั้ง

  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารจากอาหารได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยลดโอกาสการท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
  • ช่วยให้รู้สึกเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารมากขึ้น

วิธีการเคี้ยวอาหารให้ถูกต้อง

  • กัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ
  • เคี้ยวอาหารช้าๆ
  • เคี้ยวอาหารจนสูญเสียเนื้อสัมผัส
  • กลืนอาหารเมื่อเคี้ยวเสร็จแล้ว
  • จดจ่อกับการกินอาหาร ไม่ควรทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรเคี้ยวอาหารนานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาฟัน
  • ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยๆ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาข้อต่อขากรรไกร

สรุป

การเคี้ยวอาหารให้ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดปัญหาสุขภาพ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยเน้นการเคี้ยวอาหารให้ช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook