10 อาหารยิ่งกินยิ่งแก่เร็ว กินอยู่ทุกวันอาจไม่รู้ตัว

10 อาหารยิ่งกินยิ่งแก่เร็ว กินอยู่ทุกวันอาจไม่รู้ตัว

10 อาหารยิ่งกินยิ่งแก่เร็ว กินอยู่ทุกวันอาจไม่รู้ตัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้เราจะหนีไม่พ้นกาลเวลาที่หมุนเวียน แต่ร่างกายของเราไม่ได้ถูกกำหนดโดยอายุทางปฏิทินเพียงอย่างเดียว วิถีชีวิต รวมไปถึงอาหารที่เรากิน ล้วนส่งผลต่อความเร็วในการเสื่อมถอยของร่างกายในระดับเซลล์ ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกและความรู้สึกภายในที่อาจไม่สอดคล้องกับอายุที่แท้จริง

"การเสื่อมถอยทางชีวภาพ หมายถึงกระบวนการเสื่อมลงของการทำงานต่างๆ ของร่างกายทั้งในระดับเซลล์และโมเลกุล ซึ่งสามารถได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านวิถีชีวิต รวมไปถึงอาหาร" ดร. แดเนียล ครัมเบิล สมิธ นักโภชนาการจาก Top Nutrition Coaching อธิบาย

"มาร์ลีน เปเรซ นักโภชนาการจาก Top Nutrition Coaching กล่าวว่า "การรับประทานอาหารที่สมดุล อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดไขมันจำเป็น วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ควบคู่กับการจำกัดอาหารแปรรูป น้ำตาล ไขมันไม่ดี โซเดียม และแอลกอฮอล์ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการส่งเสริมอายุยืนยาว ชะลอความแก่ และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม"

ในทางกลับกันอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ - อาหารที่ขาดสารอาหารสำคัญและสารต้านอนุมูลอิสระ แต่เต็มไปด้วยอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันไม่ดี - อาจส่งผลต่อร่างกายด้วยการกระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง ความเครียดออกซิเดทีฟ ภูมิคุ้มกันของลำไส้ที่อ่อนแอ และปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ ดังนั้นเราจึงได้พูดคุยกับนักโภชนาการสองท่านเกี่ยวกับอาหารที่จะทำให้คุณแก่เร็วขึ้นหากรับประทานเป็นประจำ ถึงกระนั้นคุณก็ยังสามารถดื่มกินอาหารเหล่านี้ได้บ้างในปริมาณที่พอเหมาะ เพียงแค่เน้นไปที่การเติมเต็มอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นให้กับร่างกายและเก็บอาหารเหล่านี้ไว้สำหรับโอกาสพิเศษ และนี่คือ 10 อาหารยิ่งกินยิ่งแก่เร็ว 

10 อาหารยิ่งกินยิ่งแก่เร็ว

1.ซีเรียลที่มีน้ำตาล ซีเรียลหลายยี่ห้อในท้องตลาดกลับเต็มไปด้วยน้ำตาลที่เติมแต่ง การได้รับแคลอรี่ส่วนใหญ่จากน้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อแรกของวัน จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายรีบปล่อยอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลเหล่านั้น

2.ฮอทดอก เบคอน แม้เบคอน ไข่ดาว และชีสยามเช้าวันทำงาน หรือฮอทดอกย่างในงานปาร์ตี้หน้าร้อน จะไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากมาย แต่การเลือกรับประทานเนื้อสัตว์แปรรรูปเป็นประจำนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

ดร. แดเนียล ครัมเบิล สมิธ กล่าวว่า เนื้อสัตว์แปรรรูปประเภทเนื้อแดง มีไขมันอิ่มตัวสูง และมักมีสารกันเสียอย่างไนเตรท ซึ่งส่งเสริมการอักเสบเรื้อรังและความเครียดออกซิเดทีฟในร่างกาย ส่งผลต่อกระบวนการเสื่อมโทรมทางชีวภาพได้ "ปัจจัยเหล่านี้เร่งการเสื่อมของเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับวัย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ การบริโภคเนื้อสัตว์แปรรรูปยังเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของสารประกอบที่เป็นอันตราย ซึ่งสามารถทำลายดีเอ็นเอและโปรตีน ส่งผลต่อกระบวนการแก่ยิ่งขึ้น"

3.แอลกอฮอล์ แม้การดื่มไวน์สักแก้วกับมื้อค่ำหรือค็อกเทลหลังเลิกงานเป็นครั้งคราวจะไม่ส่งผลเสียหายร้ายแรงใด ๆ แต่การดื่มหนักทุกสุดสัปดาห์หรือการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจส่งผลต่อสุขภาพได้ แอลกอฮอล์สามารถเร่งอายุตามจริงของคุณได้ใน 3 ด้านสำคัญ ประการแรก แอลกอฮอล์มันจะทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งและหมองคล้ำ มีริ้วรอยและร่องลึกเพิ่มมากขึ้น ดร. แดเนียล ครัมเบิล สมิธ กล่าว

ประการที่สอง ดร. สมิธ กล่าวว่า "แอลกอฮอล์ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามินบี 12 และโฟเลท รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์และนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับวัย เช่น โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม"

ประการสุดท้าย (แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย) แอลกอฮอล์สามารถทำให้โรคไขมันพอกตับ โรคตับอักเสบ และโรคตับแข็ง ส่งผลต่อความสามารถของตับในการกำจัดสารพิษและรักษาการทำงานของร่างกายโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเร่งกระบวนการแก่ทั่วร่างกาย" ดร. สมิธ กล่าว

4.ขนมปังขาว เบเกิล เพรทเซล และพาสต้า ล้วนทำมาจากแป้งขัดขาว ซึ่งผ่านกระบวนการที่เอาเอาทั้งใยอาหารและสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปหมด กระบวนการนี้ทำให้ค่าดัชนีน้ำตาลในเลือดของอาหารเหล่านี้สูง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว

"ภาวะน้ำตาลพุ่งสูงและตกลงอย่างรวดเร็วส่งผลต่อความเครียดออกซิเดทีฟและการอักเสบ เร่งกระบวนการเสื่อมของเซลล์" ดร. แดเนียล ครัมเบิล สมิธกล่าว "นอกจากนี้ แป้งขัดขาวยังขาดใยอาหารและสารอาหารสำคัญเมื่อเทียบกับธัญพืชไม่ขัดสี ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารต้านความแก่ที่จำเป็น เช่น วิตามินบี สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และแร่ธาตุ ซึ่งยิ่งส่งเสริมกระบวนการแก่"

5.น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสหวานอย่างชาใส่น้ำตาล ไม่ได้มอบคุณค่าทางโภชนาการใด ๆ เลย แถมการดื่มเป็นประจำยังส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายในหลายด้านอีกด้วย เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีแคลอรี่มาจากน้ำตาลที่เติมแต่งทั้งสิ้น

ดร. แดเนียล ครัมเบิล สมิธ กล่าวว่า "การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ส่งผลต่อกระบวนการเสื่อมโทรมทางชีวภาพ เนื่องจากมีน้ำตาลสูง ซึ่งนำไปสู่ภาวะความเครียดออกซิเดทีฟมากขึ้น การอักเสบ และการก่อตัวของ Advanced Glycation End Products (AGEs) ซึ่งเร่งกระบวนการเสื่อมของเซลล์และทำลายเนื้อเยื่อ"

การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไป อาจส่งผลต่อภาวะดื้ออินซูลินและการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณของความแก่ก่อนวัยและความยาวของเทโลเมียร์ที่สั้นลง (FYI เทโลเมียร์ทำหน้าที่ปกป้องปลายโครโมโซม และความยาวของเทโลเมียร์เป็นตัวบ่งชี้ความแก่ของเซลล์ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพสัมพันธ์กับเทโลเมียร์ที่สั้นลง อ้างอิงจากรายงานปี 2011 ในวารสาร The Journal of Nutritional Biochemistry)

นอกจากนี้ มาร์ลีน เปเรซ กล่าวว่า "น้ำอัดลมยังมีกรดฟอสฟอริก ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม ส่งผลต่อความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูก และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหัก ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับวัย"

6.อาหารทอดอย่างไก่ชิ้น นักเก็ต เบอร์เกอร์ และเฟรนช์ฟราย มักมีไขมันทรานส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้ำมันทอดถูกนำมาใช้ซ้ำหลายครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับร้านอาหารจานด่วนหลายแห่ง

"ไขมันทรานส์เหล่านี้ส่งผลต่อการอักเสบและความเครียดออกซิเดทีฟในร่างกาย ซึ่งเป็นกระบวนการที่เร่งการเสื่อมของเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับวัย เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน" ดร. แดเนียล ครัมเบิล สมิธ กล่าว

การนำน้ำมันทอดมาใช้ซ้ำส่งผลต่อการเกิดไขมันทรานส์อย่างไร? ดร. สมิธ อธิบายว่า เมื่อน้ำมันถูกความร้อนซ้ำๆ จะเกิดกระบวนการออกซิเดชั่น และเสื่อมสลายทางความร้อน

"ความร้อนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทำให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวในน้ำมันเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ซึ่งหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือการเปลี่ยนกรดไขมันซิส (ซึ่งพบตามธรรมชาติในน้ำมันพืชส่วนใหญ่) ให้กลายเป็นกรดไขมันทรานส์ น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวความเข้มข้นสูง (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด ซึ่งล้วนเป็นน้ำมันที่นิยมนำมาทอดอาหาร) มีแนวโน้มที่จะก่อตัวเป็นไขมันทรานส์ได้ง่ายขึ้นเมื่อถูกความร้อนจัดหรือใช้ซ้ำ นอกจากนี้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและระยะเวลาการทอดที่นานขึ้น ยิ่งส่งผลต่ออัตราการก่อตัวของไขมันทรานส์เพิ่มขึ้น"

7.เนื้อสัตว์แปรรูป มักมีสารกันเสียอย่างโซเดียมและไนเตรทในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการเสื่อมโทรมทางชีวภาพ โดยกระตุ้นความเครียดออกซิเดทีฟและการอักเสบในร่างกาย ดร. สมิธ กล่าว “สารกันเสียเหล่านี้ รวมถึงสารประกอบ AGEs ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการแปรรูปอาหาร สามารถทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อ ส่งผลต่อการแก่ก่อนวัยที่ระดับเซลล์”

นอกจากนี้เนื้อสัตว์แปรรูปยังมีโซเดียมสูงมาก ตัวอย่างเช่น แฮมแพ็ค 3 ชิ้น มีโซเดียมประมาณ 652 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 27% ของปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน “ปริมาณโซเดียมที่สูงในเนื้อสัตว์แปรรูปประเภทเดลิ ส่งผลต่อความดันโลหิตสูงและปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมตามวัย” ดร. สมิธ กล่าว

8.มันฝรั่งทอด เวลาอยากกินอะไรเค็ม ๆ คุณอาจจะหยิบมันฝรั่งทอดมาเป็นอันดับแรก แต่เราก็รู้ดีว่าแค่หยิบกินไม่กี่ชิ้นมันช่างยากเหลือเกิน นิสัยการกินมันฝรั่งทอดเป็นประจำไม่ได้ช่วยชะลอวัยของคุณเลย

"มันฝรั่งทอดสำเร็จรูป มักทอดด้วยน้ำมันไม่ดีที่อุณหภูมิสูง ส่งผลต่อการก่อตัวของไขมันทรานส์" มาร์ลีน เปเรซ นักโภชนาการ กล่าว "กระบวนการทอดอาหารที่มีแป้งสูงอย่างมันฝรั่งเพื่อผลิตมันฝรั่งทอดที่อุณหภูมิสูงสามารถก่อให้เกิดสารอะคริลาไมด์ ซึ่งถือเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง ส่งผลต่อความเสียหายของเซลล์และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับความแก่"

นอกจากนั้น มันฝรั่งทดยังมีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและมีโซเดียมสูงอีกด้วย "ปริมาณโซเดียมในมันฝรั่งทอดส่งผลต่อการกักเก็บน้ำในร่างกาย ความดันโลหิตสูง และความเครียดต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเร่งกระบวนการแก่ในหลอดเลือดและอวัยต่างๆ ได้" เปเรซ กล่าวสรุป

9.เบเกอรี่ประเภทคุกกี้ ขนมอบ มัฟฟิน และอื่นๆ ล้วนทำมาจากแป้งขัดขาวและมีน้ำตาลเติมมาก บางครั้งอาจมีไขมันทรานส์ปนอยู่ด้วย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อกระบวนการเสื่อมโทรมทางชีวภาพ โดยกระตุ้นการอักเสบและความเครียดออกซิเดทีฟ

"ปริมาณน้ำตาลที่สูงสามารถนำไปสู่การก่อตัวของ AGEs ซึ่งทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน โปรตีนสำคัญที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ของผิว ในขณะที่ไขมันทรานส์สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงความสมบูรณ์ของเซลล์" ดร. สมิธ กล่าว

10.น้ำตาลทดแทนความหวาน อย่างน้ำเชื่อมข้าวโพด และน้ำเชื่อมเมเปิลบางชนิด มีฟรักโตสสูง ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น ภาวะดื้ออินซูลิน ไขมันสะสมในตับ และระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ซึ่งล้วนนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญและเร่งกระบวนการแก่

ฟรักโตสที่มากเกินไป ก็เช่นเดียวกับน้ำตาลทรายขาว ก่อให้เกิดสาร AGE ส่งผลเสียต่อคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น และแก่ก่อนวัย “การบริโภคสารให้ความหวานเหล่านี้เป็นประจำ อาจส่งผลให้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ภาวะเมตาบอลิกซึนโดรม และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความแก่ก่อนวัยและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับวัย” เปเรซ กล่าว

หากคุณใช้น้ำตาลทดแทนความหวานเหล่านี้ทุกวันแทนที่จะเลือกบริโภคอาหารไม่แปรรูป “จะก่อให้เกิดภาวะขาดสมดุลของสารอาหาร เบียดบังอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และเร่งกระบวนการแก่” เปเรซกล่าว

สรุปคือ “การเลือกผลไม้สดเพื่อเพิ่มความหวาน และลดการพึ่งพาน้ำตาลและสารให้ความหวานที่เติมแต่ง จะส่งผลต่อสุขภาพที่ดีขึ้นและอาจช่วยชะลอวัยได้” เปเรซ กล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook