6 กีฬาเล่นต้องระวัง เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน

6 กีฬาเล่นต้องระวัง เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน

6 กีฬาเล่นต้องระวัง เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เดี๋ยวนี้เรามักได้ยินนักวิ่ง นักกีฬาล้มและหมดสติ หรือวูบลงไปในขณะทำกิจกรรมนั้นๆ อยู่ ซึ่งต่อมาก็มักจะมีผลสรุปว่าเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำให้หัวใจไม่มีเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงสมอง และร่างกาย ซึ่งบางคนก็สงสัยอีกว่าทำไมเหล่านักกีฬา ที่มีความแข็งแรงจึงเกิดภาวะนี้ มาดูกันว่ามีกีฬาอะไรบ้างที่เสี่ยงเกิดหัวใจวายเฉียบพลันได้บ้าง

กีฬาที่เกิดหัวใจวายเฉียบพลันได้บ่อยมักเป็นกีฬาที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก หัวใจจะบีบตัวแรงและเร็วเพื่อไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอในขณะเล่นกีฬา

อย่างไรก็ตามยังมีกีฬาที่ต้องกระทบกระทั่งกันมากๆ อีกที่เสี่ยงทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน บางครั้งอาจมีการกระแทกหน้าอกอย่างแรงทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรงและเสียชีวิตได้ (Commotio cordis) การวิ่งมาราธอนก็มักเกิดเหตุการณ์ในระยะ 5 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย เนื่องจากนักวิ่งมีการอ่อนล้าแล้วและมีการเร่งเพื่อให้เข้าถึงเส้นชัย การขาดน้ำและเกลือแร่จากการเสียเหงื่อ อาจเป็นปัจจัยเสริมให้เกิด กีฬาเบา ๆ เช่นกอล์ฟ วิ่งเหยาะ ๆ ปั่นจักรยานจะพบน้อยกว่า นอกจากนี้คือจะพบในนักกีฬาชายมากกว่านักกีฬาหญิง

1.บาสเก็ตบอล
2.ฟุตบอล
3.วิ่งมาราธอน
4.รักบี้
5.อเมริกันฟุตบอล

สาเหตุของหัวใจวายเฉียบพลันในนักกีฬา

ถ้าอายุมากกว่า 35 ปีส่วนใหญ่เกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปี ผู้ป่วยมักจะมีโรคหัวใจที่ผิดปกติแต่กำเนิดหลบซ่อนอยู่ เช่นกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติชนิดต่าง ๆ เช่น hypertrophic cardiomyopathy, arrhythmogenic right ventricular cardiomyopathy, โรคหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ, โรคระบบไฟฟ้าหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด เช่น long QT syndrome, WPW syndrome, Brugada syndrome เป็นต้น

จะป้องกันหัวใจวายเฉียบพลันในนักวิ่งได้อย่างไร

มาตรการที่จะกล่าวต่อไปนี้ สามารถใช้ได้กับการเล่นหรือแข่งขันทุกประเภทนอกจากการวิ่ง โดยมีมาตราการหลัก 3 ข้อประกอบด้วย อย่างแรกคือ ตรวจคัดกรอง ให้กับผู้เป็นนักกีฬาหรือผู้จะเข้าร่วมการแข่งขัน หรือ Preparticipation screening ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าเป็นนักกีฬาสมัครเล่นหรืออาชีพ ควรได้รับการตรวจหาพื้นฐานโรคหัวใจและความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน

โดยเฉพาะผู้มีปัจจัยเสี่ยงเช่นอายุมากกว่า 35 ปี สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีประวัติโรคหัวใจหรือเสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหัวใจในครอบครัว โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรืออาจตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ ที่เรียกว่า Echo cardiogram ส่วนในกรณีที่นักกีฬามีอายุมากกว่า 35 ปีหรือสงสัยว่าจะมีหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ แพทย์อาจส่งตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลัง ที่รู้จักกันดีว่า exercise stress test อย่างที่ 2 คือ ผู้รับผิดชอบนักกีฬาเช่นผู้ปกครอง เจ้าของทีมหรือเจ้าของสถานที่ฝึกซ้อมหรือแข่งขันต้องจัดให้มีการปฏิบัติการกู้ชีพที่มีประสิทธิภาพซึ่งต้องมี “เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า” ที่เรียกย่อ ๆ ว่า AED รวมอยู่ด้วยให้พร้อมอยู่เสมอ สามารถปฏิบัติการกู้ชีพได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ ขั้นตอนนี้พบว่ามีความสำคัญเพราะสามารถลดอัตราการตายลงได้มาก สุดท้ายคือ ต้องให้ความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางการป้องกันการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันแก่นักกีฬาเอง บางครั้งก่อนเกิดเหตุอาจมีอาการเตือนหรือผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาก่อน เช่นแน่นหน้าอก อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แต่นักกีฬาอาจละเลยไม่สนใจ เนื่องจากขาดความรู้ หรือกลัวอดลงแข่งขัน ในปัจจุบันได้มีการติดตามการเต้นของหัวใจของนักวิ่งด้วยอุปกรณ์บันทึกการเต้นของหัวใจชนิดติดตัว ลักษณะเหมือนแผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทนน้ำ-ทนเหงื่อ และบันทึกการเต้นของหัวใจขณะมีการเคลื่อนไหวได้ เมื่อวิ่งเสร็จก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ดูว่าตลอดการวิ่งพบหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจขาดเลือดหรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนการดูแลรักษาต่อไป บางงานวิจัยติดตามการเต้นแบบ real time โดยส่งข้อมูลการเต้นของหัวใจคนไข้ผ่านระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ต ระบบ 4G/Wi-Fi เมื่อพบความผิดปกติ ทีมแพทย์ก็จะแจ้งเตือนไปที่ตัวนักกีฬาให้ลดความเร็วลงหรือให้หยุด หรือส่งทีมแพทย์เข้าไปให้การรักษาได้ทันที แต่ยังมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีอยู่บ้างสำหรับการส่งสัญญาณชีพแบบ real time ในบริเวณที่มีคนอยู่จำนวนมากทั้งนักวิ่งทั้งผู้เข้าชมและมีการใช้ช่องสัญญาญอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้การติดตามหาตัวนักวิ่งที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะท่ามกลางนักวิ่งจำนวนมากก็ทำได้ลำบาก คงต้องใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น โดรนมาช่วย

AED คืออะไร

AED คือ เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ ย่อมาจาก Automated External Defibrillator ใช้สำหรับกู้ชีวิตผู้ป่วยที่เกิดภาวะ หัวใจวายเฉียบพลันจากหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้วหรือเต้นเร็วขึ้นรุนแรง ภาษาอังกฤษเรียกว่า ventricular tachycardia/ventricular fibrillation เครื่องจะทำการวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจโดยอัตโนมัติ และแนะนำให้ผู้ใช้กดปุ่มเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าออกไปเพื่อกระตุกหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติ ซึ่งกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันที่ไม่ได้เกิดจากหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว แต่เกิดจากหัวใจหยุดเต้น หัวใจไม่มีการบีบตัวเครื่องจะไม่แนะนำให้ช็อค แต่จะแนะนำให้ทำการปั๊มหัวใจต่อไป เครื่องจะทำการให้จังหวะการปั๊มหัวใจและวิเคราะห์การเต้นของหัวใจทุก 2 นาที โดยเครื่องได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย บุคคลทั่วไปที่ไม่รู้จักเครื่องก็สามารถทำตามขั้นตอนต่างๆที่เครื่องแนะนำได้ อย่างไรก็ตามการฝึกฝนให้รู้จักและใช้งานได้ จะทำให้การกู้ชีพทำได้เร็วกว่าและดีกว่า การใช้เครื่อง AED ร่วมกับการปั๊มหัวใจที่มีประสิทธิภาพจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิต 2-3 เท่า

นอกจากนี้ล่าสุด นพ.วิทวัส ศิริประชัย เจ้าของเพจ Drama-addict ยังได้มีการโพสต์เกี่ยวกับเคสนักแบดจากจีนที่เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันตอนแข่งขัน เสียชีวิตว่า



"เคสนักแบดจากจีนเมื่อวานที่เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันตอนแข่งขัน เสียชีวิตแล้ว ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

พ่อแม่พี่น้องถ้าตามข่าวจะสังเกตเห็นว่า มีคนเล่นแบด แล้วเกิดอาการแบบนี้บ่อยมาก สาเหตุเกิดจาก การเล่นแบดเป็นกีฬาที่ความเข้มข้นสูงมาก จะมีการขยับตัวต่อเนื่องเป็นระยะเวลานึงเป็นช่วงๆ ซึ่งในช่วงที่ขยับตัวไม่หยุดนั้น จะทำให้ชีพจรขึ้นไปสูงมากๆ เหมือนการออกกำลังกายแบบ HIIT

และในบางคนที่อาจมีโรคประจำตัวซ่อนอยู่ การที่หัวใจเต้นเร็วมากๆ จะไปกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่อันตรายถึงชีวิตเช่น VT/VF ได้
เมื่อเราพบคนที่กำลังออกกำลังกายอยู่ดีๆ จู่ๆก็ฟุบไปเลย สาเหตุมักมาจากหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดนี้ วิธีช่วย ถ้าคนๆนั้นหมดสติปลุกไม่ตื่น ให้เริ่มทำการ CPR ทันที และรีบโทร 1669 ที่สำคัญที่สุดคือ AED
AED จะสามารถทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะกลับมาเต้นตามปรกติได้ และช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตสูงถึง 50% ดังนั้นต้องมี AED ประจำที่สนามแบดและสนามกีฬาทุกแห่งครับ"



แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook