"กะหล่ำปลีม่วง" กับ "กะหล่ำปลีเขียว" ต่างกันอย่างไร แบบไหนให้ประโยชน์มากกว่า

"กะหล่ำปลีม่วง" กับ "กะหล่ำปลีเขียว" ต่างกันอย่างไร แบบไหนให้ประโยชน์มากกว่า

"กะหล่ำปลีม่วง" กับ "กะหล่ำปลีเขียว" ต่างกันอย่างไร แบบไหนให้ประโยชน์มากกว่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กะหล่ำปลีเป็นผักที่เรามักเห็นเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากหลายชนิด บางคนก็นำไปทานแบบสุก หรือทานแบบดิบ สำหรับในท้องตลาดกะหล่ำปลีที่เราเห็นมีทั้งแบบกะหล่ำปลีเขียว หรือขาว และกะหล่ำปลีม่วง หรือแดง หลายคนตั้งคำถามว่ากะหล่ำปลีเหมือนกัน แต่แตกต่างกันไหม และแตกต่างกันอย่างไร กินแบบไหนได้ประโยชน์มากกว่า

กะหล่ำปลีม่วง กับกะหล่ำปลีขาวแตกต่างกันอย่างไร

คุณอาจสงสัยว่ากะหล่ำปลีแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน อันไหนมีประโยชน์หรือสารอาหารมากกว่ากัน แท้จริงแล้วกินกะหล่ำปลีแบบไหนก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แม้จะมีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างกะหล่ำปลีม่วง และเขียว ทั้งคู่ต่างมีแคลอรี่ต่ำและมีไฟเบอร์สูง

วิตามินเอ

โดยทั่วไปผักและผลไม้ที่มีสีสันสดใส มักจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผักผลไม้สีอ่อน ดังนั้นเราควรปรุงอาหารเหล่านี้อย่างรวดเร็วหรือใช้อุณหภูมิต่ำเพื่อป้องกันความร้อนทำลายสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์

กะหล่ำปลีม่วงหรือแดงมีวิตามินเอมากกว่ากะหล่ำปลีเขียว หรือขาวถึง 10 เท่า กะหล่ำปลีม่วง หรือแดง 1 ถ้วย มีปริมาณวิตามินเอ คิดเป็น 33% ของความต้องการวิตามินเอ ต่อวัน ในขณะที่กะหล่ำปลีเขียว หรือขาว 1 ถ้วย มีปริมาณวิตามินเอ เพียง 3% เท่านั้น วิตามินเอมีความสำคัญต่อสายตา ผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินเค

สารอาหารชนิดนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพของกระดูก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน วิตามินเค ยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด กะหล่ำปลีเขียว หรือขาว ในฐานะที่เป็นผักใบเขียว มีวิตามินเคมากกว่ากะหล่ำปลีม่วงหรือแดง โดยกะหล่ำปลีขาวหรือเขียว 1 ถ้วย มีปริมาณวิตามินเค คิดเป็น 57% ของความต้องการวิตามินเคต่อวัน ในขณะที่กะหล่ำปลีม่วง หรือแดง 1 ถ้วย มีปริมาณวิตามินเคเพียง 28% เท่านั้น

วิตามินซี

ทั้งกะหล่ำปลีม่วง หรือแดง และกะหล่ำปลีเขียว หรือขาวเป็นแหล่งวิตามินซีชั้นดี แต่กะหล่ำปลีม่วงจะมีวิตามินซีมากกว่าประมาณ 37% วิตามินซีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยให้แผลหายเร็ว และช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง

สารแอนโธไซยานิน

สารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้เป็นตัวที่ทำให้กะหล่ำปลีมีสีม่วง หรือแดง สารแอนโธไซยานินมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง ช่วยเรื่องความจำ กระตุ้นการปล่อยฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญไขมัน และควบคุมความอยากอาหาร ส่งผลต่อการลดน้ำหนักได้อย่างมีสุขภาพ

สรุปคือ : กะหล่ำปลีม่วง หรือแดงมีวิตามินเอมากกว่ากะหล่ำปลีเขียว หรือขาว 10 เท่า รวมถึงกะหล่ำปลีม่วง หรือแดงมีวิตามินซีมากกว่ากะหล่ำปลีขาว หรือเขียว 37 % อีกทั้งกะหล่ำปลีม่วงยังต่อสู้กับโรคมะเร็ง ช่วยเรื่องความจำ และกระตุ้นฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ด้วย แต่ในขณะเดียวกันกะหล่ำปลีขาว หรือเขียวก็มีวิตามินเคมากกว่ากะหล่ำปลีม่วง หรือแดงโดยคิดเป็น 57 %

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook