"ไหลบัว" กับ "สายบัว" ต่างกันอย่างไร แบบไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน
เวลาเรานึกถึง "บัว" ก็มักจะนึกถึงดอกสวยๆ ของมัน แต่จริงๆ แล้วบัวมีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะบัวนั้นมีประโยชน์ตั้งแต่รากไปจนถึงดอกของมัน สำหรับสิ่งที่หลายๆ คนได้ยินกันบ่อยครั้งจากเมนูอาหารก็คงหนีไม่พ้นรากบัว สายบัว และไหลบัว แต่สิ่งที่คนมักสับสนว่าแตกต่างกันอย่างไรคือ "ไหลบัว" กับ "สายบัว"
ไหลบัว กับสายบัว ต่างกันอย่างไร
ไหลบัว หรือ หลดบัว คือหน่ออ่อนของบัวที่เจริญเติบโตขึ้นเป็นต้นบัวใหม่ ลักษณะของไหลบัวจะมีก้านยาว สีเหลืองนวล เนื้อแข็ง ปลายเรียวแหลม ต่างจากสายบัวที่มีลักษณะอ่อนนิ่ม กดแล้วจะยุบ
ไหลบัวได้รับการยกย่องในตำราสมุนไพรไทยว่าเป็นยาเย็นรสจืด ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยใยอาหาร
สรรพคุณของไหลบัว:
- แก้ความอ่อนเพลีย
- บำรุงหัวใจ
- แก้ท้องผูก
- แก้กระหาย
- บำรุงปอด
- แก้ไข้
- ลดความดันโลหิต
- แก้เบาหวาน
วิธีรับประทานไหลบัว:
- นำไหลบัวมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือก
- นำไปต้มหรือนึ่งจนสุก
- รับประทานสด หรือ นำไปประกอบอาหาร เช่น แกงส้ม ต้มยำ ผัด
สายบัว คือส่วนก้านดอกของบัว นิยมนำมาประกอบอาหาร มีหลากหลายสีตามสายพันธุ์ เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ เมื่อกดแล้วจะยุบลง นิยมนำมาปรุงอาหารทั้งแบบนิ่มและกรุบกรอบ แตกต่างจากไหลบัวที่มีเนื้อแข็ง
ประโยชน์ของสายบัว:
- ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้และกระเพาะ
- บรรเทาอาการท้องผูก
- ขับปัสสาวะ
- ดับพิษร้อน
- คลายเครียด
- บำรุงเลือด
- บำรุงกระดูกและฟัน
- ช่วยให้นอนหลับสบาย
- บำรุงหัวใจ
- ต้านมะเร็ง
รากบัว
รากบัว คือเหง้าของบัวที่เจริญเติบโตอยู่ใต้น้ำ ลักษณะเป็นท่อนยาว แบ่งเป็นปล้องๆ เมื่อหั่นตามขวาง จะเห็นรูกลวงเรียงกันเป็นวงกลม เนื้อรากบัวมีสีขาวอมเหลืองหรือสีงาช้าง
สรรพคุณของรากบัว:
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ: รากบัวมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดอาการร้อนใน กระหายน้ำ
- ลดไข้: รากบัวมีสรรพคุณช่วยลดไข้
- แก้ไอ: รากบัวช่วยบรรเทาอาการไอ
- เป็นยาชูกำลัง: รากบัวมีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยบำรุงร่างกาย
- ขับปัสสาวะ: รากบัวช่วยขับปัสสาวะ
- เสริมฤทธิ์ยานอนหลับ: รากบัวช่วยให้นอนหลับสบาย
เมนูอาหารจากรากบัว:
- แกงจืดรากบัว
- ยำรากบัว
- ต้มรากบัว
- รากบัวผัดไข่
- น้ำรากบัว