ไขคำตอบ Water Fasting ลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำ ได้ผลจริงไหม

ไขคำตอบ Water Fasting ลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำ ได้ผลจริงไหม

ไขคำตอบ Water Fasting ลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำ ได้ผลจริงไหม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เทรนด์การลดน้ำหนักในปัจจุบัน มีวิธีการต่าง ๆ ให้เลือกใช้อย่างเหมาะสมหลายวิธี รวมถึงการทำ Water Fasting ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากสาวรุ่นใหม่ เพราะเป็นหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักที่กำลังมาแรง! โดยเชื่อว่าการดื่มแต่น้ำสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง และลดปัญหาการเกิดโรคร้ายแรงได้ แต่ก่อนที่จะเริ่มการลดน้ำหนักใด ๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจทั้งประโยชน์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การลดน้ำหนักไม่เสี่ยงพาสุขภาพเสียหาย

Water Fasting คืออะไร

Water Fasting คือ การงดอาหารและทำเพียงดื่มน้ำเปล่าเป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 24-72 ชั่วโมง แต่การงดอาหารและดื่มเพียงน้ำเป็นเวลาตามที่ระบุไว้ อาจนำไปสู่การขาดสารอาหารและส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ จึงต้องทำอย่างระมัดระวัง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสนใจในการทำ Water Fasting เพื่อลดน้ำหนักได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ว่าการดื่มน้ำ จะกระตุ้นกลไกการทำความสะอาดตัวเองของร่างกายที่เรียกว่าออโตฟาจี (Autophagy)

ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ฟื้นฟูร่างกาย โดยการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ แบบไม่ต้องมีอาหารเข้าไปสร้างความสกปรก การศึกษาและวิจัยแสดงให้เห็นว่ากลไกนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด เช่น โรคพาร์กินสันและอัลไซเมอร์ได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำ Water Fasting ด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจริง

ช่วงทำ Water Fasting ต้องดื่มน้ำ อย่างไร?

เมื่อจะทำ Water Fasting จำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก แต่สำหรับผู้ที่ชอบกาแฟ แนะนำให้เลือกเป็นกาแฟดำในปริมาณที่พอเหมาะ แต่ห้ามเติมครีมเทียม น้ำตาล หรือสารปรุงแต่งรสใด ๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับแคลอรีมาเกินไป นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งช่วงเวลา Water Fasting ในการดื่มน้ำ ดังนี้

1.ช่วงปรับตัวก่อนทำ Water Fasting

ก่อนที่จะเริ่มการอดอาหารใด ๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเสียก่อน มีการกำหนดระยะเวลาการอดอาหารที่เหมาะสม เป็นช่วงสั้น ๆ เช่น 12-16 ชั่วโมง จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้น หากร่างกายสามารถทนต่อการอดอาหารได้ดีจึงเพิ่มเวลาขึ้น แต่ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง โดยให้เลือกทำ Water Fasting ในวันที่คุณไม่ได้ทำงาน เลือกช่วงเวลาที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แน่ใจว่าทานอาหารที่มีความสมดุลและเพียงพอ ก่อนที่จะเริ่มการทำ Water Fasting

2.ช่วงระหว่างทำ Water Fasting

ช่วงการทำ Water Fasting ให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-4 ลิตร แนะนำให้จิบน้ำอย่างต่อเนื่องตลอดวัน แทนที่จะดื่มครั้งละมาก ๆ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษได้ แนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ ร่วมด้วย เช่น โยคะ และระวังอาจพบอาการข้างเคียง เช่น ปวดหัว เวียนศีรษะ อ่อนล้า สับสน และไม่สบายตัว สิ่งสำคัญคือต้องฟังร่างกายของคุณและหยุดทันที หากคุณมีอาการรุนแรงขึ้น

3.ช่วงหลังการทำ Water Fasting

หลังจากสิ้นสุดการทำ Water Fasting ต้องค่อย ๆ กลับมารับประทานอาหารอีกครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ซึ่งสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารในปริมาณน้อย เช่น น้ำผัก น้ำผลไม้ และอาหารที่ย่อยง่ายอย่างซุปข้าว ซุปปลา ซุปไก่ และธัญพืช แนะนำให้แบ่งมื้ออาหารเป็นส่วนเล็ก ๆ โดยแบ่งเป็น 5 มื้อต่อวัน ประกอบด้วยอาหารเช้า ของว่าง อาหารกลางวัน ของว่าง และอาหารเย็น หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูง ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารมื้อใหญ่ทันที เพราะอาจทำให้เกิดภาวะ Refeeding Syndrome ซึ่งร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง ส่งผลให้มีปัญหาต่อสมอง เส้นประสาท และกล้ามเนื้อได้

การทำ Water Fasting เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักหน่วง ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังและอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ สิ่งสำคัญคือต้องไม่มองข้ามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวหรือทำแล้วรู้สึกไม่เหมาะกับตวเอง ให้เปลี่ยนไปใช้วิธีการลดน้ำหนักอื่นแทนได้เลยค่ะ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook