13 ปีบนเส้นทางมะเร็งเต้านม "ออย ไอรีล" อยู่อย่างไรให้เบาใจ มีความสุขได้ทุกวัน

13 ปีบนเส้นทางมะเร็งเต้านม "ออย ไอรีล" อยู่อย่างไรให้เบาใจ มีความสุขได้ทุกวัน

13 ปีบนเส้นทางมะเร็งเต้านม "ออย ไอรีล" อยู่อย่างไรให้เบาใจ มีความสุขได้ทุกวัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อประมาณกว่า 5 ปีก่อน Sanook Women เคยสัมภาษณ์คุณออย-ไอรีล ไตรสารศรี ผู้ก่อตั้งโครงการ Art for Cancer by Ireal (อาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์  บาย ไอรีล ) ภายใต้การดำเนินการของบริษัท อาร์ต ออฟไลฟ์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด

โดยในเวลานั้นเธอเผยเรื่องราวของการเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 และสิ่งที่ได้เรียนรู้ชีวิตจากก้อนเนื้อร้าย การเดินทางบนเส้นทางนี้ของเธอยาวนานมาถึงปัจจุบันมะเร็งระยะ 4 ลุกลามไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย แต่ในไม่กี่วันที่ผ่านมาเราพบเธอ เธอยังคงสดใส มีรอยยิ้ม และสามารถส่งต่อพลังของความหวังได้อย่างแรงกล้า และ 7 ตุลาคมของทุกปีคือวันมะเร็งเต้านมสากล เราจึงชวนเธอมาอัปเดตเรื่องสุขภาพกับเส้นทางวิชามะเร็งที่ยาวนานนี้กันอีกครั้ง

คุณออยอัปเดตสุขภาพตอนนี้ให้เราทราบหน่อย

จากที่รักษามา 13 ปี ตอนนี้มะเร็งไปอยู่ในตับ ปอด กระดูก สมอง เรียกว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย จริงๆ คุณหมอบอกว่ามีโอกาสหายน้อยมาก ตอนนี้เลยต้องใช้ยาควบคุมโรคเพื่อยืดอายุของเราไปได้นานที่สุด

ตลอด 13 ปีออยเปลี่ยนสูตรยาเยอะมาก ตอนนี้มาถึงสูตรที่เป็นยามุ่งเป้าที่เพิ่งเข้ามาในบ้านเรา แล้วราคาแพงมากจริงๆ แพงจนเราเครียด แต่ถ้ามองในแง่ดี มันคือยาใหม่ที่เป็นนวัตกรรมที่เป็นยามุ่งเป้า เหมือนเอาคีโมเข้าไปปล่อยตรงจุด เลยมีราคาสูง เราก็คิดว่าถ้าเรายังมีกำลังเลยรักษาไปก่อน ยังมีความหวังว่าจะคุมโรคได้


ทุกวันนี้อะไรคือหลักการดำเนินชีวิตของคุณออย

ตั้งแต่ออยเจอมะเร็ง และอยู่บนเส้นทางนี้มา ออยขอเรียกว่า "วิชามะเร็ง" ออยก็ทำใจ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ออยตั้งหลักได้มันคือมายด์เซ็ต (Mindset) ออยเรียนรู้ ยอมรับความจริง ออยผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ รู้สึกว่าเราเผชิญหน้ากับความตาย ใกล้ความตายบ่อยๆ เหมือนฝึกวิทยายุทธ เตรียมความพร้อม พอเราได้เข้าใจความจริง ยอมรับสิ่งที่เราเจอ เราได้มีการเตรียมตัว ทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งเราต้องจากไป ถึงเราไม่เป็นมะเร็ง แต่เราก็ต้องจากไปอยู่ดีเราจะไม่เสียดายชีวิต ซึ่งออยก็ทำสิ่งนั้นมาตลอด มันก็เลยทำให้ออยอยู่กับมะเร็งได้อย่างเบาใจ และวางใจ มันเป็นเรื่องของการที่เราต้องดูแลจิตใจ มีมุมมองที่เราจะต้องเรียนรู้อยู่กับโรค รักษามันไปตามหน้าที่ที่เราเป็นคนไข้ ที่เราก็ต้องรักษา แต่เรื่องของการวางจิตวางใจมันก็เป็นหน้าที่ของเราเหมือนกัน เราก็ต้องดูแลช่วงเวลานี้ให้เราสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้จนถึงแม้กระทั่งลมหายใจสุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะเก็บอะไรไปด้วยกับการเดินทางของเราในวาระสุดท้าย รวมถึงเราอยากจะฝากอะไรไว้ให้กับสังคม หรือโลกใบนี้

ผู้ป่วยมะเร็งอยากให้มอง "มะเร็ง" อย่างไร

สำหรับออยมะเร็งเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง เหมือนมันเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ เหมือนลม ฝน ฟ้าผ่า ไฟไหม้ อุทกภัย นี่ก็เป็นภัยอย่างหนึ่งแต่ว่าเกิดจากภายในตัวเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร และมุมของออยคือ ด้วยความที่ออยมองมะเร็งเป็นครูว่าเขาสอนอะไรเราบ้าง ก็เลยรู้สึกว่าออยได้ประโยชน์จากการเป็นมะเร็ง ทำให้ออยใช้ชีวิตเป็น หรือแม้กระทั่งได้ทำประโยชน์และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น มะเร็งเลยไม่เป็นอุปสรรคหรือบั่นทอนชีวิตเราอย่างเดียว แต่มันมีด้านที่ดีของมัน ถ้าเราหามันเจอเราจะอยู่กับมันได้สบายขึ้น ไม่ทุกข์เกินทน

สิ่งที่อยากบอกกับผู้ที่กำลังร่วมเดินทางบนเส้นทางมะเร็ง

สำหรับคนที่เป็นมะเร็งแล้ว ออยคิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษาอย่างถูกต้อง อย่างแรกคือเรื่องของการยอมรับความจริง การตั้งสติว่าเมื่อเป็นแล้วเราเลือกที่จะรับมือกับมันอย่างไร หรือใช้ชีวิตแบบไหน หรือมองอุปสรรคหรือความทุกข์ในครั้งนี้อย่างไร สำหรับออยมองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรามีมุมมองที่เห็นแง่ดี หรือแม้กระทั่งหาประโยชน์ได้จากความทุกข์ หรือหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับมันได้อย่างสันติ อันนี้ออยมองว่าอันนี้เป็นคีย์หลักสำหรับคนที่เป็นโรคร้าย ที่อาจจะไม่ใช่แค่โรคมะเร็ง

13 ปีที่ผ่านมา คุณออยคิดว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

ออยคิดว่าเป็นวิธีคิดและการใช้ชีวิต การรับมือกับปัญหา การมองโลกที่เปลี่ยนไป ทั้งโลกใบนี้และโรคด้วย มันเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิต เปลี่ยนเป้าหมาย ทำให้ออยเห็นคุณค่าและความหมายของการมีชีวิต แม้ว่าออยอาจมีโอกาสที่จะไม่มีชีวิตอยู่นานเหมือนคนที่สุขภาพดีแต่ว่ามันก็ทำให้เราเห็นว่าถึงแม้เราจะเป็นแบบนี้แต่เราก็มีความสุขได้ ใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างมีคุณค่า ทำให้เรายังดูมีพลัง มีแรงบันดาลใจ มีกำลังในการใช้ชีวิตหรือทำอะไรเยอะแยะไปหมดทั้งๆ ที่เราป่วย

 แผนของคุณออยหลังจากนี้เราเตรียมตัวอะไรไว้บ้าง

ออยเตรียมทุกอย่างให้พร้อมถ้าวันหนึ่งออยจะต้องจากไปให้เรารู้สึกเบาใจ แล้วเราไม่ต้องเสียดายกับวันนี้ถ้าเราต้องตาย แบบไม่มีอะไรต้องติดค้าง มันง่ายๆ เลยคือ "ทำวันนี้ทุกวันให้เหมือนวันสุดท้าย เหมือนถ้าพรุ่งนี้เราไม่มีชีวิตอยู่ เราจะเลือกให้ความสำคัญกับอะไร" เราถามตัวเองุทุกวันตอนกลางคืน ยิ่งไปคอร์สภาวนากับพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็มีเทคนิคเราควรจะเคลียร์ตัวเองทุกวันว่าวันนี้ก่อนนอนเราติดค้างอะไรกับใคร เรามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ หรือมีสิ่งที่ภาคภูมิใจอะไรในชีวิต ความดีอะไรที่เราได้ทำ เป็นการซ้อมตายเพราะว่าบางทีออยอาจจะไม่ได้ตายจากมะเร็งก็ได้ มันอาจจะมีอะไรที่ทำให้เราต้องไปก่อน คนไม่เป็นมะเร็งก็ไปก่อนจากภัยต่างๆ มากมายที่มันควบคุมไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นมันคือการต้องเตรียมความพร้อม

สำหรับคุณออยอะไรคือวิธีทำให้ทุกวันมีความสุข

เราต้องหาความสุขของเราให้เจอ ความสุขของออยคือการได้ทำอะไรเพื่อตอบสนองความสุขของตัวเอง อาจจะเป็นความสุขง่ายๆ เช่นกินของอร่อย หรือใช้เวลากับครอบครัว เล่นกับหมา รวมถึงเราใช้เวลากับคนที่เราให้ความสำคัญ คนที่เรารัก รวมถึงสิ่งที่เป็นความสุขและพลังที่ยิ่งใหญ่ของออยคือการได้ทำประโยชน์กับคนอื่น และทำให้จากคนที่รู้สึกหมดหวัง ไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไร แล้วเขาได้อะไรที่เป็นประโยชน์จากออยแล้วชีวิตของเขาเปลี่ยน เหมือนบางทีเขามีความทุกข์แล้วเขาได้รับการแบ่งปันหรือได้รับมุมมองจากออยแล้วพลิกชีวิตเขา อันนี้ก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของออย พูดแล้วก็ตื้นตัน นี่คือความสุข เป็นการชาร์จพลังของออย อย่างวันนี้แค่ออยไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล เพื่อนผู้ป่วยก็บอกว่าเห็นออยแล้วพี่กินข้าวได้ มีกำลังใจ แค่นี้ก็คือความสุข ออยมองว่าทุกคนไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วยก็น่าจะความสุข หรือความหมายของชีวิตให้เจอ

ผู้หญิงหลายๆ คนไม่กล้าไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม อะไรคือคำแนะนำจากผู้ป่วยมะเร็งเต้านม

จริงๆ มันน่าเสียดายมากกับการที่ไม่ยอมไปตรวจมะเร็งเต้านม ยิ่งเราตรวจเจอก่อนมันยิ่งมีโอกาสหาย ออยเห็นหลายคนกังวล แต่ก็จะมาเสียดายตอนหลังว่าไม่น่าเลย ไม่น่าปล่อยไว้นาน ดังนั้นเป็นเรื่องของความรับผิดชอบกับชีวิตตัวเองมากกว่า เรามองให้มันกว้างกว่านั้นคือการที่เราจตรวจแล้วเราเจอเร็วมันก็มีด้านดี แม้เราจะเจอข่าวร้ายแต่มันก็มีด้านดีที่เราตรวจแล้วเจอ แม้บางคนอาจตรวจเจออาจจะเป็นระยะมากแล้ว ก็มีเรื่องที่ดีคือว่าเดี๋ยวนี้นวัตกรรมการรักษามันก็ดีกว่าแต่ก่อน ดังนั้นออยมองว่าเป็นการรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง และเป็นการวางจิตวางใจ อยากให้อย่าละเลยกับเรื่องนี้เพราะว่านั้นมันคือโอกาสหาย หรือแม้กระทั่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook