"รู้หรือไม่? เทอาหารแมวทิ้งไว้อันตรายกว่าที่คิด ทาสแมวควรระวัง!

"รู้หรือไม่? เทอาหารแมวทิ้งไว้อันตรายกว่าที่คิด ทาสแมวควรระวัง!

"รู้หรือไม่? เทอาหารแมวทิ้งไว้อันตรายกว่าที่คิด ทาสแมวควรระวัง!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทาสแมวหลายคนมักเทอาหารเม็ดแมวทิ้งไว้ เพื่อให้น้องแมวได้เลือกกินได้ตลอดเวลาตามใจชอบ ซึ่งถือเป็นวิธีที่สะดวกสำหรับเจ้าของ อย่างไรก็ตามหลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า จริง ๆ แล้วการทำแบบนี้ดีต่อน้องแมวจริงหรือไม่?

วันนี้ Sanook จึงอยากพาทุกคนมาไขข้องสงสัยว่าเราควรเทอาหารแมวทิ้งไว้หรือไม่ พร้อมเปิดวิธีให้อาหารที่เหมาะสมกับน้องแมว จะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย!

ควรเทอาหารทิ้งไว้ให้แมวหรือไม่?

การเทอาหารแมวทิ้งไว้ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่สะดวกสำหรับเจ้าของและน้องแมว แต่กลับมีข้อเสียสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้

1. เสี่ยงต่อโรคอ้วน

การปล่อยอาหารให้แมวกินได้ตลอดเวลา อาจทำให้น้องแมวบริโภคอาหารมากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคเบาหวานและโรคเกี่ยวกับข้อต่อ

2. ความสะอาดและการปนเปื้อน

อาหารเม็ดที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป อาจเกิดการปนเปื้อนเชื้อโรค ฝุ่นละออง หรือแมลงต่างๆ ทำให้น้องแมวเจ็บป่วยได้

3. ยากต่อการควบคุมพฤติกรรมการกินในแมวหลายตัว

สำหรับบ้านที่มีแมวหลายตัว การวางอาหารทิ้งไว้ อาจทำให้บางตัวกินมากเกินไปและบางตัวกินได้น้อยเกินไป ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและสมดุลการกินของแต่ละตัว นอกจากนี้ยังทำให้เจ้าของไม่สามารถสังเกตเห็นพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติไปของน้องแมวอีกด้วย

วิธีให้อาหารแมวที่เหมาะสม

  1. กำหนดเวลาให้และจำนวนมื้ออาหารที่เหมาะสม

การกำหนดเวลาให้อาหารจะช่วยสร้างนิสัยที่ดีให้กับแมว ทำให้แมวกินอาหารเป็นเวลา นอกจากนี้การให้จำนวนมื้ออาหารที่เหมาะสมกับแมวในแต่ละช่วงวัยก็สำคัญเช่นเดียวกัน

  • ลูกแมวหย่านม - 6 เดือน: ควรให้อาหารวันละ 3 มื้อ
  • แมวโต (6 เดือนขึ้นไป): ควรให้อาหารวันละ 2 มื้อ โดยแต่ละมื้อไม่ควรห่างกัน 12 ชั่วโมง เนื่องจากหากกินห่างเกินไป กระเพาะจะผลิตกรดมากเกินไป ทำให้น้องแมวเกิดอาการคลื่นไส้ได้
  • แมวสูงอายุ (10 ปีขึ้นไป): ยิ่งแมวอายุมากขึ้น ความอยากอาหารและระบบเผาผลาญของแมวจะลดลง จึงอาจให้เป็นอาหารวันละ 1-2 มื้อ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
  1. ปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณอาหารของแมวในแต่ละมื้อ ควรปรับให้เหมาะสมกับน้ำหนัก และช่วงวัย โดยเจ้าของสามารถสังเกตปริมาณอาหารที่จำเป็นตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์ได้

  1. เลือกสูตรอาหารที่เหมาะสม

เช่นเดียวกัน การเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสมกับช่วงวัย และความต้องการเฉพาะของน้องแมวแต่ละตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากน้องแมวแต่ละตัวมีความต้องการที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ในแมวสูงอายุ จะไม่ต้องการอาหารที่มีแคลอรี่สูง เนื่องจากไม่ได้มีกิจกรรมมากเท่าแมวโต หรือในแมวบางตัว อาจมีปัญหาเรื่องทางเดินปัสสาวะ ปัญหาขนร่วง เจ้าของก็สามารถเลือกอาหารที่ตรงต่อความต้องการ และแก้ไขปัญหาของน้องแมวได้ เป็นต้น

อย่างอาหารเม็ดเมว Lifemate ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับเจ้าของ เนื่องจากมีหลายสูตรให้เลือก ทั้งสูตรสำหรับลูกแมวและแม่แมว (Lifemate Grain Free Kitten & Mother) ที่มีสารสกัดจากนมน้ำเหลือง (Colostrum) ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกแมว, สูตรแมวสูงวัยอย่าง Lifemate Senior 7+ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของแมวสูงอายุ หรือสูตรสำหรับแมวที่มีความต้องการเฉพาะ ทั้งแมวที่มีปัญหาขนร่วง สามารถใช้ Lifemate Care+ สูตร Skin & Coat หรือแมวที่มีปัญหาก้อนขนก็สามารถเลือกอาหาร Lifemate Care+ สูตร Urinary Hairball Digestive ได้

นอกจากนี้อาหารเม็ดแมว Lifemate ทุกสูตรยังมาในรูปแบบพรีเมี่ยม อุดมไปด้วยสารอาหารจำเป็นสำหรับน้องแมวในแต่ละช่วงวัย โดยเฉพาะ Superfoods อย่างผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แครอท ถั่วลันเตา ที่ช่วยเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ตอบโจทย์สำหรับทาสแมวที่อยากดูแลให้น้องอยู่กับเราไปนาน ๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีให้อาหารแมวที่เหมาะสม ไม่ยากเลยใช่ไหม? ลองนำไปปรับใช้กันดูนะ เพราะการเทอาหารทิ้งไว้แม้จะสะดวก แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นควรเลือกวิธีให้อาหารที่เหมาะสม โดยกำหนดเวลา ปริมาณ และเลือกสูตรอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของน้องแมว เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากอาหารที่ดีและการดูแลอย่างใส่ใจ เพื่อให้น้องแมวอยู่เคียงข้างเราไปนาน ๆ

 

[Advertorial]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook