หมอศูนย์มะเร็งวิทยาเผยเป็น "มะเร็งตับ" ตายเร็วจริงไหม "มะเร็งตับ" ร้ายที่สุดจริงหรือ ?
Thailand Web Stat

หมอศูนย์มะเร็งวิทยาเผยเป็น "มะเร็งตับ" ตายเร็วจริงไหม "มะเร็งตับ" ร้ายที่สุดจริงหรือ ?

หมอศูนย์มะเร็งวิทยาเผยเป็น "มะเร็งตับ" ตายเร็วจริงไหม "มะเร็งตับ" ร้ายที่สุดจริงหรือ ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โรคมะเร็งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ จากข้อมูลสถิติเมื่อปี 2565  พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งเกิดใหม่รวม 183,541 ราย จากจำนวนประชากรรวม 70,078,198 คน และ "มะเร็งตับ" เป็นสาเหตุทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 จากโรคมะเร็งทั้งหมด และติดอันดับ 4 ของโลกรองจากจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม "มะเร็งตับ" อาจเป็นโรคมะเร็งที่มีภาพจำ หรือสร้างการรับรู้สำหรับบางคนว่าเป็นมะเร็งตับแล้วมักจะเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว แต่นั่นอาจเป็นเพียงการรับรู้เมื่อมะเร็งตับของผู้ป่วยเดินทางมาถึงในระยะสุดท้าย ในความจริงแล้ว "มะเร็งตับ" ไม่ใช่มะเร็งตัวร้าย แถมยังมีสัญญาณเตือนที่หากเรารู้ก่อนก็สามารถป้องกันได้ สำหรับความเชื่อที่ยังบิดเบือนในเรื่องมะเร็งตับเป็นมะเร็งตัวร้ายที่สุดนั้น แพทย์หญิงจอมธนา ศิริไพบูลย์  ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  ได้เผยกับ Sanook Women ถึงความรุนแรงของมะเร็งตับที่ยังคลาดเคลื่อน เพราะจริงๆ แล้วมะเร็งตับรู้เร็วรักษาได้ 

มะเร็งตับแพทย์หญิงจอมธนา ศิริไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

"มะเร็งตับ" ตายเร็ว คำนี้ยังถูกต้องไหม ?

"สาเหตุของมะเร็งตับนั้นเป็นสาเหตุที่พวกเราสามารถป้องกันได้ เหมือนมันรู้ว่ามีปัจจัยเสี่ยงคืออะไร ขณะที่หลายๆ มะเร็งเราไม่รู้สาเหตุเลย อย่างเช่นมะเร็งปอด ตามที่มีข่าวว่าอยู่ดีๆ หมอก็ป่วยตั้งแต่อายุน้อย มาถึงเอ็กซ์เรย์แล้วปรากฎว่ามะเร็งกระจายเต็มปอดเลย แล้วก็เสียชีวิต แต่ในขณะที่มะเร็งตับไม่ได้ทำตัวแบบนั้น มันไม่ได้มาถึงก็เป็นมะเร็งตับเลย แต่ส่วนใหญ่จะมีสัญญาณเตือนมาก่อน หรือมีความเสี่ยงมาก่อน ดังนั้นไม่เหมือนกัน

อย่างเวลาเราคัดกรองเราอาจเริ่มในกลุ่มเสี่ยง เมื่อก่อนถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี มันสามารถบอกได้เลยว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งตับ จริงๆ คนไทยเจอไวรัสตับอักเสบบี กับซีเยอะ ดังนั้นทั้ง 2 ตัวนี้ทำให้เป็นมะเร็งตับได้ทั้งคู่ แต่ขณะเดียวกันพอเป็นสิ่งที่ป้องกันได้เพื่อไม่ให้มันไม่ไปต่อก็คือเราต้องรักษาตั้งแต่ตอนเป็นไวรัส เพราะตอนที่มันติดเชื่อไวรัสมันยังรักษาได้เพราะมียาดี ทำให้ระดับไวรัสควบคุมได้ หรือต่ำ หรือตรวจไม่เจอเลย แล้วพอเราตรวจเจอได้ สามารถกำจัดปัจจัยเสี่ยงนี้ได้มันก็ไม่ไปต่อจนถึงกับเป็นมะเร็งตับ



เพราะจริงๆ ลำดับของการเกิดมะเร็งตับ อย่างกรณีติดเชื้อไวรัส และถ้าคนไข้สูบบุหรี่ ดื่มสุราด้วย ต่อจากนั้นมันจะกลายมาเป็นตับแข็ง พอตับแข็งมันก็ไปต่อเป็นมะเร็งตับ ดังนั้นเราสามารถหยุดตรงนี้ได้ตั้งแต่ตอนติดเชื้อไวรัส ถ้าคุมได้ดี มันก็ไม่ไปต่อ

นอกจากนั้นในการดื่มแอลกอฮอล์มันมีการเตือนกันอยู่แล้วว่าควรดื่มเท่าไร ไม่ควรดื่มเกินเท่าไร จริงๆ รู้กันอยู่ แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่คิดว่าดื่มกันมาก็ไม่เห็นเป็นอะไร ทุกคนก็ยังดำรงชีวิตต่อไป แต่ทุกอย่างที่เรารู้มันเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้

สำหรับในปัจจุบันเราเป็นเบาหวาน หรือไขมันพอกตับนานๆ มันก็เพิ่มปัจจัยการเป็นมะเร็งตับ ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องการกิน-อยู่ บางทีเราไม่ระวัง ดังนั้นไม่ได้มาแค่โรคหัวใจ โรคสมอง มันกลายเป็นว่าโรคเหล่านี้ถ้าเป็นนานๆ มันทำให้เกิดมะเร็งตับได้ด้วย นอกจากนั้นความอ้วนก็ยังเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดมะเร็งตับได้เช่นกัน

ดังนั้นสิ่งที่จะบอกก็คือถ้าคนไข้ตรวจสุขภาพประจำปีมันมักจะไม่หลุดจากการตรวจเจอสัญญาณเตือน หรือความผิดปกติต่างๆ  ทั้งการตรวจค่าตับ การอัลตราซาวน์ช่องท้อง ดังนั้นมะเร็งตับจึงไม่เหมือนมะเร็งอย่างอื่น มันมักจะมีอะไรมาก่อนแต่คนไข้มักไม่ค่อยสนใจ หรือสังเกต เช่นมะเร็งตับอาจเริ่มด้วยอาการท้องอืด อาหารม่ย่อย แต่พอมันโตของมันไป ทำให้เราป้องกันมันได้ ดังนั้นเราต้องคอยหมั่นสังเกต ดักจับ ไม่ประมาท"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
kookkak

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบน
เว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่
นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้