ประวัติ ดีเจอ้อย นภาพร ควงคู่ ไนซ์ นวพล รักคือคำตอบ

หลังจากที่คบหาดูใจกันมานานหลายปี ในที่สุดดีเจสาวเสียงหวาน อ้อย- นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ประจำคลื่น กรีนเวฟ 106.5 FM ก็ได้สละโสด...ลั่นระฆังวิวาห์กับแฟนหนุ่ม ไนซ์- นวพล จุลอมรโชค อดีตนักร้องและนักดนตรี เมื่อวันที่ 5 เม.ย.51 ณ ห้องฟอร์จูนบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว ฟอร์จูน รัชดา
โดยก่อนหน้านี้ได้ทำพิธียกน้ำชา ซึ่งเป็นพิธีแบบจีนไปแล้ว เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความหวานซึ้งอย่างมาก มีดอกไม้ประดับตกแต่งอยู่ทั่วงาน สร้างความประทับใจให้กับแขกเหรื่อเต็มไปหมด ซึ่งคู่บ่าว-สาว อ้อย-ไนซ์ ก็ได้ออกมายืนต้องรับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่เต็มไปด้วยความสุขอย่างมากเลยทีเดียว ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ไปร่วมทำข่าวในครั้งนี้ด้วยความเป็นกันเองว่า ''ก็ตื่นเต้นเหมือนหลายคู่ที่ผ่านๆ มา ไม่คิดว่าจะได้มีวันนี้ คบเป็นเพื่อนกันมา 5 ปี เป็นแฟน 7 ปี รวมแล้วรู้จักกัน 12 ปี
เริ่มจากการที่พี่อ้อยไปสัมภาษณ์ พี่ไนซ์ ตอนที่พี่ไนซ์เป็นนักร้อง ชื่อวง ไนซ์ทูมีสยู ปี 38 พี่อ้อยก็ประทับใจเค้าเพราะเค้าไนซ์สมชื่อ คอยดูแลเทกแคร์ตลอดเวลา ชีวิตคู่ของเราเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน แล้วก็จะใช้โทรศัพท์สื่อสารกันอย่างเดียว ตลอด 7 ปีเต็ม พี่ไนซ์จะอยู่แม่สอด แต่ว่าพี่จัดรายการที่กรุงเทพฯ จนถึงปีนี้เป็นปีที่ 7 แล้ว ก็เลยตัดสินใจแต่ง แต่ก่อนหน้านี้ 3 ปีพี่ไนซ์ก็เคยขอพี่แต่งงาน แต่ตอนนั้นยังไม่พร้อม ก็เลยยังไม่ได้ตกลง เรื่องของระยะทางตอนนี้ไม่ใช่ปัญหา ส่วนเรื่องฮันนีมูนคงต้องสักพักนึงก่อน ยังไม่ได้คิด ส่วนเรื่องทายาทพี่ต้องบอกก่อนว่าพี่เป็นเจ้าสาวสูงวัย เพราะฉะนั้นต้องรีบมีให้เร็วที่สุดตอนนี้พี่ 37 ปี พี่ไนซ์ 40 ปี จะต้องรีบมีให้เร็วที่สุด แต่ว่าต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นผู้หญิงผู้ชาย แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็ขอให้เป็นผู้ชายตลอดไป ถ้าเป็นผู้หญิงก็ขอให้เป็นผู้หญิงตลอดไป''
จากนั้นผู้สื่อข่าวหันไปถามเจ้าบ่าวบ้างว่าไม่รู้สึกกดกันเหรอ ที่แต่งงานกับ ดีเจอ้อย ซึ่งเป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องโน้นเรื่องนี้กับคนอื่นตลอด งานนี้เจ้าบ่าวตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า ''ไม่กดดัน ก็สบายๆ เป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด ส่วนระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเรา ผมสัญญาว่าจะดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดีที่สุด ให้สบายทั้งกายและใจ ทุกวันนี้เราไม่ได้ตั้งเป้าว่า จะต้องไปฮันนีมูนที่ไหน เพราะเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมันน้อยมาก เราจะใช้เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ก็เป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว'' รักคือคำตอบ ( บทสัมภาษณ์ จาก In magazine เมื่อปี 2548 ) จาก www.djnapa.com รักของอ้อย อ้อยเริ่มมีความรักตอนเรียนมัธยมปลายที่ศึกษานารี วัยนี้จะเป็นวัยที่มีความรู้สึกว่าขอนิดนึงเถอะ คือจะต้องมีคนมาถือกระเป๋าให้ ทั้งๆ ที่อาจจะเป็นแค่เพื่อนสนิท แต่เราจะเหมาว่าเป็นแฟนกัน พอมาเรียนนิเทศฯ จุฬา การมีความรักจะหนักไปทางรักเขาข้างเดียว ชอบแต่ไม่แสดงออกให้เห็น เป็นความรักที่รู้สึกดีต่อกัน แต่ไม่ลงเอยด้วยการเป็นแฟน ถามว่าเราอยากมีใครสักคนมั้ย อ้อยว่าผู้หญิงทุกคนอยากมี เพราะเราอยากวัดคุณค่าของตัวเอง ด้วยการได้รับการยอมรับจากใครสักคน เพียงแต่อ้อยเป็นคนอยากมีแบบไม่ทุรนทุราย และเป็นนิสัยส่วนตัวที่คิดว่าใครจะชอบเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่แข่งยิ่งแพ้ แต่จริงๆ อ้อยเป็นผู้หญิงที่เวลารู้สึกดีกับใครมากพอ ก็จะบอกว่าฉันรู้สึกดีนะ เหมือนเพลง "ไม่แข่งยิ่งแพ้" ถ้าจะผิดหวังก็ให้รู้ไปเลยว่าเขาไม่รัก ไม่ใช่เพราะเราไม่บอก อีกอย่างคือจะไม่ชอบให้เขาไปรู้จากคนอื่น เพราะความรู้สึกนี้ถ้าคนอื่นไปเล่าต่อ มันมักจะบวกความมากเกินกว่าที่เรารู้สึก ซึ่งโชคดีว่าคนที่เรารู้สึกดีด้วย เขาไม่เคยมีอาการกระเจิง ผิดกับบางคู่น่าสงสารมาก เวลาที่บอกไปปั๊บ อีกคนจะหนีเตลิดจนกลายเป็นว่าไม่ชอบก็ได้นะ แต่อย่าถึงขั้นเกลียดได้มั้ย ก่อนจะมาเป็นแฟนกับพี่ไนซ์ อ้อยมีแฟนแบบเป็นจริงเป็นจังหนึ่งครั้ง แต่ว่าเบี้ยบ้ายรายทาง คือไปชอบเขา แต่เขาไม่ชอบตอบอีก 2 ครั้ง จนกระทั้งเขียนหนังสือ หลังไมค์มีไออุ่น เล่มแรกน่ะค่ะ เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน อ้อยรู้จักกับพี่ไนซ์เพราะตอนนั้นอ้อยเป็นดีเจ ส่วนพี่ไนซ์เป็นนักร้อง ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร เพราะในบรรดาเพื่อนทั้งหมด สิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก คือจะไม่เป็นแฟนกับคนนี้เด็ดขาด เหตุผลข้อเดียวเพราะหล่อไป เราเป็นเพื่อนกันมา 8-9 ปี ก่อนจะมาเป็นแฟน มีอยู่วันหนึ่งเป็นวันเกิดของพี่ไนซ์ เขาโทรมาบอกว่า วันเกิดปีนี้ไม่รู้จะกินข้าวกับใคร กินข้าวด้วยกันหน่อย เดาว่าคงเป็นแนวอกหักมา ตอนนั้นอ้อยมีกรีนทิปก็ลืมไปเลย หลังจากนั้นเขาโทรมาอีก บอกว่าใครนะจะไปกินข้าวกับเรา อ้อยเป็นฝ่ายชอบดูแลจิตใจเพื่อนๆ อยู่แล้ว ก็ไปกินข้าวด้วย ผ่านไปสักพักเริ่มโทรมาปรึกษา เรื่องเศร้าต่าง ๆ นานา เลยเดาถูกว่าอกหักมาจริงๆ อ้อยจึงเป็นคนให้คำปรึกษามาตลอด ซึ่งไม่มีอะไรมาก แค่ฟังเขา เพราะคนที่อกหักจะสูญเสียความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าผู้ชายคนหนึ่งสามารถรักผู้หญิงคนหนึ่งได้มากขนาดนี้เชียวหรือ ความในใจของนายชัดเจน คุยไปได้หลายเดือนมากจนรู้สึกว่า เขาค่อยๆ ดีขึ้น วันหนึ่งเขาเริ่มถามว่าอ้อยมีแฟนหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่มี วันหนึ่งเขาถามอีกว่าเมื่อไหร่จะมีแฟนสักที แล้วถ้าแฟนอยู่ไกลจะทำยังไง ตอนนั้นบอกไปว่าแฟนอยู่ไกลก็ไม่เป็นไร คุยโทรศัพท์ได้ แต่แอบเฉลียวใจนิดนึงว่าจะถามไปทำไม เพราะตอนนั้นเขาอยู่ที่แม่สอด จนกระทั้งวันหนึ่งเขาบอกว่าชอบเรา แต่ขออย่างเดียว ถ้าไม่ชอบไม่ต้องถึงขนาดเกลียดกัน ใจอ้อยไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นแฟนกับเขาอยู่แล้ว และเขาเพิ่งอกหักมา อ้อยเชื่ออยู่อย่างว่าคนแบบนี้สภาพจิตใจกำลังอ่อนแอที่สุด มันอาจจะไม่ได้เกิดจากความรู้สึกจริงๆ อาจเป็นเพียงแค่อยากดึงใครสักคนเอาไว้ ผ่านไปสักพักเขาโทรมาบอกว่าขอเจอ วันรุ่งขึ้นก็ไปเจอกัน เขาบอกว่าสบายใจที่บอกไป แล้วอ้อยรู้สึกอย่างไร อ้อยบอกว่ารู้สึกดี แต่น่าจะคิดให้ดีๆ ก่อน เขาถามว่าเราลองใช้เวลาด้วยกันก่อนไม่ได้หรือ ถ้าข้างหน้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ และอยู่ดีๆ อ้อยก็ตอบไปว่าก็ลองดู
เนื่องจากอ้อยรู้สึกว่าในฐานะเพื่อน เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง และจากประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาจะคลุมเครือมาตลอด กับวันหนึ่งที่คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดทุกอย่างตรงหมด พอตอบตกลงเป็นแฟน ต่างคนต่างกลับบ้าน สักพักเขาโทรมาบอกว่าดีใจมาก เขาละเอียดขนาดถามว่า ถ้ามีใครถามว่าเป็นแฟนอ้อยหรือเปล่า เราสามารถตอบได้แล้วใช่มั้ย แล้วเราจะเรียกกันว่าอะไรดี คือพอเจอคนที่ชัดเจนก็ชัดเจนซะจนใครจะไปตอบได้ว่าจะเรียกว่าอะไร โจทย์ยากๆ ในชีวิต ตั้งแต่เริ่มเป็นแฟนกันจนถึงวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา 4 ปีแล้ว เราเจอเรื่องยากทุกวัน เขาเป็นคนมีโจทย์ในชีวิตเยอะมาก เช่น เรื่องการทำงาน เขาต้องหาต้นไม้เพื่อส่งออก อยู่ที่แม่สอด นานๆ ถึงจะได้ลงมากรุงเทพฯ ส่วนคุณแม่ของพี่ไนซ์ก็เป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดกับคนที่จะเข้ามาในบ้าน และเท่าที่รู้มาคือคุณแม่มีคนที่เตรียมเอาไว้ให้พี่ไนซ์อยู่แล้ว และคุณแม่ไม่ค่อยชอบเรา แต่มันก็มีเหตุการณ์ให้เราได้พิสูจน์ตัวเองเยอะมาก มีหนหนึ่งคุณแม่พี่ไนซ์ป่วย ซึ่งเขาเองต้องวิ่งหาต้นไม้ตลอด ใจจริงไม่ได้คิดเอาชนะ แค่รู้สึกสงสารคนแก่คนหนึ่งที่เข้าไปอยู่โรงพยาบาล อ้อยเป็นคนจีนจะรู้ว่าคนจีนชอบกินอะไร อ้อยก็ซื้อโกยซีหมี่ไปให้ตอนขึ้นลิฟต์ไปเหมือนใจจะขาด เคยรู้มาว่าถ้าคนที่เขาไม่ชอบกันจริงๆ ให้กินอะไร เขาก็ยังไม่กินด้วยแต่คุณแม่ก็กิน จากตรงนั้นทุกอย่างดูเย็นลง ทำให้เรากล้าในวันต่อๆ ไป เลยเพียรที่จะเข้าไปเพียงให้เขารู้สึกไม่เหงาจนเกินไป แล้ววันหนึ่งพี่สาวเขาซึ่งอ้อยสนิทอยู่แล้วเส้นเลือดในสมองแตก ต้องมารักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ เหมือนกัน ส่วนพี่ไนซ์ก็ต้องทำงานหนัก เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก อ้อยจึงเข้ามาดูแลตลอด ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาล 2 เดือนเต็มๆ ตอนนั้นพี่เขานิ่งมาก จนคนไม่เชื่อว่าวันนี้เขาจะกลับมาพูดได้บ้างแล้ว โจทย์ยาก แต่ก็แก้ได้ ถ้าถามถึงโจทย์ยาก ๆ ว่าแก้ได้มั้ย แก้ไปได้ในหลายส่วนค่ะ อย่างคุณแม่จะเจอกันเวลาที่ท่านลงมากรุงเทพฯ อ้อยจะขับรถให้เท่าที่พอจะมีเวลา แต่ไม่เคยไปรื้อถามอะไรอีก อ้อยเชื่อว่าบางทีเราไม่ต้องเริ่มต้นด้วยการถามอยู่ตลอด แค่สังเกตเฉยๆ เดี๋ยวจะมีคำตอบเอง เช่น การที่คุณแม่พยายามจะเตือนช่วยบอกไนซ์ด้วยนะว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกอย่างน้อยเขาคงจะรู้สึกว่าเราเป็นคนที่เตือนได้ หรืออาจยอมรับเราแล้วในบางส่วน ส่วนเรื่องความห่างไกล มีทั้งดีและไม่ดี ที่ดีคือถ้าเราหวั่นไหว เราจะเหนื่อยกับการพยายามที่จะผสานกันให้ได้มากที่สุด แต่ที่เป็นข้อดีคือ เรารู้สึกดีต่อกันมากพอที่จะเอาชนะโจทย์นี้หรือเปล่า โชคดีที่เขารู้ว่าผู้หญิงควรจะคิดอะไร บางครั้งอ้อยยังไม่เซ็นซิทีฟขนาดนั้นเลย แต่เขาจะโทรมาบอกว่าขอโทษ อ้อยเชื่อว่าระยะทางเป็นโจทย์ที่ยากสมควร ถ้าคุณไม่ใส่ใจกันจริง ๆ มันหลุดง่ายมาก เราจึงพยายามสื่อสารกัน ถ้าจะงอนก็ต้องงอนให้พูดกันพยายามพูดเถอะ เพราะบางเรื่องที่เรางอนเขาไม่มีโอกาสรู้เลยจริง ๆ เป็นแฟนไนซ์ต้องอดทน ช่วงแรกๆ รับไม่ได้เรื่องที่ไม่มีเวลา รู้สึกว่าอย่างนี้กลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมไม่ดีกว่าหรือ เช่น พอเลงมาครั้งหนึ่ง มีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว เดี๋ยวพอเอาต้นไม้เสร็จต้องขับรถกลับแล้ว แต่ก็มาเจอกัน แต่เหนื่อยมาก อ้อยเคยพูดคำนี้เลยนะเจอกันแค่ชั่วโมงนึงไม่เจอกันดีกว่า มันเป็นเหมือนอีกหนึ่งแรงกดดัน แล้วจู่ ๆ ก็คิดเองว่าเราไม่รู้ว่าเวลาข้างหน้าจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า เจอกันหนึ่งชั่วโมงหรือสิบนาที ยังดีกว่าไม่เห็นกันเลย ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เจอกัน ต้องทำให้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เคยมีบางครั้งอ้อยขับรถออกจากบ้านแล้ว เขาโทรมาบอกว่ามาไม่ได้ เพราะลูกค้ารออยู่ โห...น้ำตาจะร่วง เขาถามว่าโอเคไหม บอกว่าได้ๆ คือต่อให้ร้องไห้แทบตาย แต่พอเย็นลงมันก็โอเคนะ มีอีกหนหนึ่งเขาขับรถมาไม่ทัน ถึงขั้นนั่งมอเตอร์ไซด์มา แวบแรกที่เห็นรู้สึกว่าเขาเหนื่อยมาก เกิดความรู้สึกว่าเราเหนื่อยกันเกินไปมั้ย มีเพื่อน ๆ หลายคนถามว่า อ้อยทนได้ยังไง ไม่รู้เหมือนกัน มันมาถึงตรงนี้ได้โดยไม่ได้คิดว่าวันข้างหน้าต้องทนขนาดไหน อ้อยคิดแค่ว่า คนนี้ควรค่าที่จะทนหรือเปล่า และเป็นเหตุผลให้เรารู้สึกดีกับคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จากวันแรกเป็นอารมณ์แค่ว่า ก็เป็นคนน่ารัก เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ทำไมจะไม่ลองคบเป็นแฟน แต่ถึงวันนี้ อ้อยรู้สึกว่าอยากดูแลคนคนนี้ให้ดีที่สุด เพราะเจอเรื่องยากๆ มาเยอะ
รักของไนซ์ ผมเริ่มมีความรักตอนอายุ 17 เป็นเพื่อนต่างโรงเรียน ความรักช่วงนั้นเหมือนเด็ก ใสๆ ถึงเป็นแฟนแต่ก็ไม่กล้าจับมือด้วยซ้ำ คบกันได้ปีกว่าๆ ก็เลิกรากันไป เวลาคบกับใครผมจะดูกันเรื่อยๆ แต่บางทีมันมีเหตุให้ต้องเลิกกัน ส่วนมากผมจะโดนทิ้งมากกว่า ประมาณว่าผมอยู่ในครอบครัวคนจีน แม่จะเข้มงวดมาก ช่วงผมอายุ 18-20 แล้วแม่ยังไม่ปล่อยเลย จะทำอะไรต้องบอกทุกอย่าง หรือไปช่วยพี่เขยทำงานเสร็จแล้วต้องรีบกลับบ้าน จะไปแวะเวียนคุยเล่นกับใครไม่ได้ ก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่เวลาคบกับใคร ผู้หญิงจะเบื่อ เพราะเราไม่มีเวลาให้ บางคนก็บอกว่าเราเป็นเด็กดีเกินไป (เกือบ) สละโสด อาการอกหักแย่พอสมควร กินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงขนาดว่าไม่อยากอยู่แล้ว อาจเป็นรักครั้งแรกของเราด้วย แล้วเลิกรากันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือตอนที่คบกันอยู่ผมไม่ค่อยมีเวลาให้ เพื่อนสนิทของผมก็เข้ามาเทกแคร์โดยที่เขาไม่รู้ว่คนนี้เป็นแฟนเรา ทีนี้เพื่อนคนนี้มีเวลาให้ วันนั้นรู้สึกว่าโกรธมาก เหมือนโดนหักหลัง แต่วันนี้เรากลับคิดได้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของใคร ตอนอยู่ต่างจังหวัด เคยมีโอกาสจะได้แต่งงาน พ่อแม่ผู้หญิงก็ชอบผม อยากให้แต่งงานกัน จะเปิดร้านให้ คบไปสักพักรู้สึกว่าไม่ใช่ ด้วยนิสัยที่ไปกันไม่ค่อยได้ มีปัญหาระหองระแหง เพราะผู้หญิงขี้หึงมาก จะไม่ให้คบเพื่อนเลย ในขณะที่ผมเป็นคนชอบพูดคุย คบได้สองปีกว่า สุดท้ายก็เลิก เป็นจังหวะที่ผมเรียนจบพอดี เลยย้ายมากรุงเทพฯ
พี่อ้อย : อ้อยเป็นคนที่ซีเรียสเรื่องโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน เราเลยไม่อยากจะโทรศัพท์ไปหา แล้วน้ำเสียงเขาเหมือนไม่อยากรับโทรศัพท์ ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงไม่อยากคุย แต่เขากำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า อ้อยก็จะใช้ sms มากกว่า มันบอกความรู้สึกเราได้ด้วย และไม่รบกวนเวลาจนเกินไป ถ้าเขาพร้อมก็จะโทรกลับมาเอง
พี่ไนซ์ : เขาจะส่งมาว่า คุยได้ไหมเอ่ย ยุ่งอยู่มั้ย อย่าลืมกินข้าวนะ จะส่งมาตอนเที่ยง ๆ เพราะเขารู้ว่าผมทำงานแล้วบางทีลืมกินข้าว
Q: มีอะไรที่หวานๆ ต่างจากตอนเป็นเพื่อนบ้างคะ พี่อ้อย : อ้อยเคยคุยเหมือนกันว่า อ้อยไม่ค่อยจี๊ดกับเรื่องโรแมนติก เช่น ต้องมีช่อดอกไม้ แต่เขาก็มีเหมือนกันนะคะ แต่หลังๆ มักจะเจอเซอร์ไพรส์กว่า อย่างวันเกิดปีหนึ่ง อ้อยงอนเรื่องอะไรไม่รู้ แล้วอ้อยลารายการแต่ไม่ได้บอกเขา เขาก็ส่งดอกไม้ไปที่ออฟฟิศแล้วเขียนการ์ดแบบว่า แฮปปี้เบริ์ทเดย์จ้ะที่รักต่างๆ นานา แล้วน้องผู้ช่วยดีเจโทรมาบอกว่ พี่อ้อยมีดอกไม้มาถึงค่ะ แต่เราได้เอามาแบ่งกันอ่านหมดแล้ว ส่วนเขาก็รอลุ้นว่าถ้าเราได้ดอกไม้แล้วจะโทรกลับไปมั้ย ซึ่งเราไม่รู้ สักพักเขาโทรมาบอกว่า ไม่เห็นโทรกลับเลย ยังไม่เห็นดอกไม้เหรอ ถามว่าส่งไปออฟฟิศเหรอ อ้าว วันนี้ไม่จัดรายการ :p มีหนหนึ่งเขาจะให้เป็นสร้อย แต่กว่าจะได้มามันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือพี่ไนซ์จะเป็นคนขี้ลืมมาก แล้ววันหนึ่งเขาไปลืมแฟ้มไว้ที่ปั๊มเจ็ทแห่งหนึ่ง ไกลจากกรุงเทพฯ มาก เขาก็โทรมาบอกว่าลืมแฟ้ม ช่วยไปเอาให้หน่อยสิ ซึ่งอ้อยไม่ค่อยขับรถออกไปไหนไกลๆ เพราะกลัว แต่เขาบอกว่าในนั้นมันจะมีบิลค่าโรงพยาบาลของพี่สาวทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด พี่ไนซ์ : ที่สำคัญจะเซอร์ไพรส์เขาด้วย มีสร้อยให้
พี่อ้อย : แต่เขาไม่ยอมบอกว่าในแฟ้มมีสร้อย แค่บอกว่าไปหาให้หน่อยสิ แล้วปั๊มเจ็ทปั๊มไหนก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เขาสบายใจ อ้อยก็จะทำ อ้อยกดเบอร์ถามปั๊มเจ็ทว่ามีเบอร์ศูนย์กลางหรือเปล่า พอได้เบอร์ก็เอาเบอร์ให้เขา แล้วไม่รู้ยังไงมันเจอจริงๆ ด้วย แต่เขาไปลืมไว้ที่บ้านไร่กาแฟ อ้อยก็ขับรถไป ก่อนจะถึงเขาบอกว่า ในนั้นมีสร้อยอยู่นะ ตอนแรกกะจะเซอร์ไพรส์ ลองเปิดดูแล้วกันว่าสร้อยยังอยู่มั้ย เหนื่อยก็เหนื่อย โกรธก็โกรธ ขำก็ขำ ดีใจก็ดีใจ แต่อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงอย่างฉันต้องขับรถมาตั้งไกลเพื่อมาเอาสร้อย แต่ถามว่าอะไรหวานที่สุด อ้อยว่ามันเป็นเรื่องการใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ อ้อยจะเป็นคนขับรถครูดทุกอย่าง กะระยะไม่ถูก ทำให้รถสีถลอกรอบคัน แล้วคุณพ่อเป็นคนรักรถมาก วันนั้นหลังจากช่วยพรางลายหมดแล้ว อ้อยกำลังขับรถกลับบ้าน เขาก็โทรมาหา อ้อยยังไม่ทันฮัลโหลเลย แต่คำพูดแรกที่เขาพูดขึ้นมาคือ ไม่ต้องกังวล อ้อยรู้สึกว่าเขารู้ได้ยังไงว่าอ้อยกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ พอได้ฟังประโยคนี้ อ้อยยิ้มเลยนะ
Q: กับความรักที่ต้องผ่านการทดสอบมาเยอะ คิดว่าทั้งคู่ต่อสู้มาด้วยกันอย่างไรบ้าง
พี่ไนซ์ : อ้อยจะพูดบ่อยๆ ว่า ลำมากมั้ย ถ้าลำบากบอกกันได้นะ ผมบอกว่า ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เพราะผมไม่เคยพูดสักครั้ง ยกเว้นตอนที่ผมรู้สึกเกรงใจเขา ว่าชีวิตเขาแย่ลงหรือเปล่าที่มาคบกับผม
พี่อ้อย : คืออ้อยมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเวลาจะมีความรัก ควรเป็นเรื่องสบายตัวบ้าง
พี่ไนซ์ : เขาเป็นพวกสุขนิยม ผมเป็นพวกดรามา
พี่อ้อย : เขาจะพูดบ่อยๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย ซึ่งอ้อยรู้ว่าจริงๆ เขาคงเหนื่อย เพราะการบริหารเวลาเป็นเรื่องยาก แล้วงานของอ้อยก็ไม่ใช่งานที่มีเวลาเช่นคนปกติ เวลาเขาทำงานเสร็จ อ้อยได้เวลาทำงาน จัดรายการ 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม จำได้ว่ามีปีหนึ่งตรงกับวาเลนไทน์พอดีที่พี่ไนซ์ลงมา อยากมาเซอร์ไพรส์ แล้วเจอเซอร์ไพรส์มากกว่า คืออ้อยไม่ได้ลารายการ เขาก็ต้องไปกินข้าว รออยู่คนเดียว อีกอันหนึ่งเป็นเรื่องของเจตนา คนเราจะทำอะไรก็ตามที ทำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญเท่ามีเจตนาจะทำให้หรือเปล่า คืออ้อยรู้ว่าเขาพยายามจะทำโน่นทำนี่ แต่ผู้หญิงคือผู้หญิงค่ะ บางทีเราเข้าใจในทุกเหตุผล แต่บางทีมันก็ยอมรับยากเหมือนกัน
Q: ทราบว่าซื้อบ้านร่วมกันด้วยใช่ไหมคะ พี่ไนซ์ : ครับ เราไปดูด้วยกันหลายที่ สรุปมาเจอตรงนี้ คนที่แนะนำคือบิ๊ก (เพื่อนสนิท) ซึ่งแอบไปซื้อก่อน
พี่อ้อย : ตอนแรกอ้อยยังไม่คิดอะไร พาแม่ไปด้วย แม่บอกว่าสวยนะ อ้อยน่าจะซื้อไว้ คืออะไรก็ตามที่เป็นของอ้อย อ้อยไม่ค่อยตัดสินใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันจะเป็นของคนที่เรารัก มันจะมีแรงส่งสูงมาก เหมือนที่เพื่อนๆ ชอบแซวว่า ของที่อ้อยแต่งเนื้อแต่งตัว อ้อยซื้อตลาดนัด แต่เมื่อไหร่ที่เป็นของขวัญให้พ่อแม่ ให้แฟน ต้องพิเศษหน่อย บ้านหลังนี้อ้อยตัดสินใจซื้อก่อน แต่พี่ไนซ์บอกว่าเรื่องอะไรจะให้ซื้อคนเดียว มาถึงวันนี้อ้อยไม่ได้คิดว่าเราจะต้องจบไปตามแพลน เช่น มีบ้านเสร็จก็ต้องแต่งงาน อ้อยเชื่อมั่นในเรื่องวันนี้ เพราะเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมาโดยตลอด สิ่งที่ดีใจอย่างหนึ่งคือ เวลาเฮียลงมาเขาได้ไปอยู่บ้าน เขาเป็นคนที่ทำบ้านสมบูรณ์แบบจริง ๆ อ้อยน่ะสักแต่ดู ไม่รู้จักอะไรสักอย่าง ตั้งแต่บ้านเสร็จอ้อยยังไม่เคยไปอยู่สักหนเดียว แต่อ้อยจะมารดน้ำต้นไม้ที่พี่ไนซ์ปลูกไว้ พี่ไนซ์ : เราทำเรื่องต้นไม้ ชอบต้นไม้ ก็ต้องหาต้นไม้มาลง แล้วทิ้งภาระให้เขามารดน้ำ
พี่อ้อย : คืออ้อยอยู่กับพ่อแม่แถวราษฎษ์บูรณะไกลพอประมาณ อ้อยรู้ว่าเขาชอบต้นไม้ อ้อยก็ชอบ ถ้าไม่มีงานวุ่นวายก็โอเค แต่ถ้ามีงานวุ่นวาย มันจะเป็นห่วง มีอยู่ครั้งหนึ่งอ้อยไม่สบาย ไม่ได้มารดน้ำ 4 วัน ต้นไม้ชิงตายกันไปเกือบหมด เศร้ามาก เพราะมันก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน Q: มองความรักที่ผ่านเรื่องราวมากมายมาตลอด 4 ปีอย่างไรบ้าง พี่อ้อย : ความรักของเราขึ้นอยู่กับพื้นฐานในชีวิตจริงสูงมาก อ้อยเป็นคนชอบดูหนังโรแมนติกน่ารักๆ แต่ชีวิตจริงมันมีอะไรน่ารักกว่านั้น 4 ปีที่ผ่านมาอ้อยดีใจที่มันมีโจทย์นะคะ ไม่เคยรู้สึกว่ โอ๊ย ทำไมชีวิตต้องแย่ขนาดนี้ อ้อยมักจะพูดเสมอว่าชีวิตเราโชคดีขนาดไหนแล้ว ที่เราได้ทำมาถึงขนาดนี้ ฉะนั้นเราต้องใช้โอกาสนี้แทนคนอื่นบ้าง
พี่ไนซ์ : ตอนที่เหนื่อยมากๆ ถามตัวเองเหมือนกันว่าจะถอยทัพดีหรือเปล่า แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมว่ามันคุ้มค่าที่เราลุยกันมาเยอะ และคิดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้มากเท่านี้ อาจจะดูเหมือนผมเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจ แต่ไม่ใช่นะ มันมีปัจจัยอื่นมากมายที่ทำให้เรา ดูแลเขาได้ไม่เต็มที่เท่าที่อยากจะดูแล แต่เขาก็ยังอดทนและเข้าใจ อีกอย่างคือธรรมชาติมนุษย์เราต่างชอบคนหล่อคนสวย ตัวผมเองก็ไม่เว้น แต่วันนี้ผมมองข้ามจุดนั้นไปแล้ว การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ
Q: สิ่งที่ทั้งคู่ประทับใจกันและกันมากที่สุดคืออะไรคะ พี่อ้อย : พี่ไนซ์เป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นๆ ด้วย อ้อยไม่ชอบคนที่รู้สึกว่าต้องเป็นแฟน หรือต้องเป็นพวกพ้องเท่านั้นถึงจะต้องดูแล บางครั้งการที่เขาดูแลคนอื่นรอบ ๆ ตัวเขาจะดูเป็นคนน่ารัก และเราจะภูมิใจว่าคนนี้คือแฟนเรา ที่ประใจอีกอย่างคือ เขาเป็นคนรักครอบครัวมาก อ้อยก็รักครอบครัว เพราะกว่าจะมาถึงวันที่เราไปบอกรักชาวบ้านได้ เราถูกสร้างมาจากครอบครัวทั้งนั้น ว่าไม่าจะแข็งแรงขนาดไหน ถ้าเพียงแต่เขาเป็นคนไม่สนใจครอบครัวเลย แล้วจะต้องมาอยู่กับเราตลอดเวลาก็ไม่ใช่นะ แล้วเราจะรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างว่าเขาจะดูแลเรา และครอบครัวเราด้วย
พี่ไนซ์ : คล้ายๆ กันครับ ที่เห็นชัดมากคือ เขารักครอบครัวมาก ดูแลพ่อแม่พี่น้อย ขณะที่เขาเหนื่อยขนาดนั้นเขายังมาดูแลครอบครัวเราอีก ประทับใจว่าเราเองก็สำคัญขนาดที่เขายอมมาดูแลเหมือนคนในครอบครัวเขาเหมือนกัน :) อ่านแล้วยิ้มหวาน เต็มอิ่มไปกับความรักของทั้งคู่ด้วยเลย มั้ยคะ
อัลบั้มภาพ 25 ภาพ