วิธีเลือกซื้อเพชร
สาวๆ เป็นกันไหมค่ะ ทำงานเหนื่อยกันมาทั้งปี (หรือาจจะแค่เดือนสองเดือน) ก็เข้าห้างช็อปปิ้งเสื้อผ้าเอย กระเป๋าเอย โดยอ้างว่าซื้อเป็นรางวัลให้กับตัวเอง หลังจากทำงานตรากตรำจนเหนื่อยล้า ยิ่งทำงานมาก ยิ่งหนักเท่าไหร่ ก็ให้รางวัลตัวเองบ่อยเท่านั้น จนบางครั้งหนิงอดคิดไม่ได้ว่ารางวัลนี้ช่างไม่มีค่าเอาเสียเลย เพราะให้ตัวเองอยู่เกือบทุกเดือน โดยเฉพาะช่วงสองปีที่ผ่านมา หนิงรู้สึกว่าเศรษฐกิจบ้านเราไม่ค่อยดี จากเคยซื้อกระเป๋าทุกเดือน ก็เหลือ 3 เดือนที หรือ 8 เดือนที ยิ่งรองเท้าแพงๆ ยิ่งแล้วใหญ่ ต้องคิดแล้วคิดอีก และจบลงด้วยการเก็บเงินเข้ากระเป๋าดีกว่า เท่านั้นยังไม่พอ หนิงยังพลอยตักเตือนเพื่อนฝูงที่ชอบช้อปแบบคนบ้า ต้องซื้อให้ได้ทุกครั้งที่เข้าห้าง เหมือนคนโรคจิตที่ต้องเสียตังค์ให้ได้ทุกวัน ช่วงหลังเวลาที่หนิงต้องไปช้อปปิ้งกับเพื่อน หนิงจะใช้เวลาในการคิดพิจารณาอย่างถ้วนถี่ จนเพื่อนเครียดแทน หนำซ้ำยังทำให้เพื่อนที่บ้าช้อปต้องคิดหนักเหมือนเราไปด้วย ก็จริงนี่ค่ะ เคยคิดว่ากระเป๋าถือไม่นานเดี๋ยวก็เอาท์ รองเท้าใส่ได้ไม่กี่ชั่วโมงก็กัดเท้าซะแทบแย่ หรือเสื้อผ้าที่เปลี่ยนตามแฟชั่นอยู่เกือบทุกวัน แล้วจะมีอะไรที่คงทนและอยู่กับเราไปได้นานๆ แถมมูลค่าไม่ตกบ้างไหม ก็เพิ่งจะช่วงแต่งงาน (เกือบสองปีที่แล้ว) นี่แหละค่ะ ที่หนิงเริ่มค้นพบสิ่งมหัศจรรย์กว่า แถมยังว่ากันว่าเป็นเพื่อนรักของผู้หญิงทุกคน ใช่แล้วค่ะ เพชรยังไงล่ะคะ แต่ก่อนไม่เคยสนใจเลย คุณแม่ให้มาเท่าไหร่ ก็เก็บใส่ลิ้นชัก คิดแต่ว่ามีแต่คนแก่ๆ ใส่แต่ภายหลังจากไปเลือกซื้อแหวนหมั้นกับคุณแม่สามี โอ้โห.สุดจะบรรยาย เพชรแต่ละเม็ดมันช่างเหมือนมีมนสะกดให้เราต้องจ้องมันต้องสวมใส่มัน แล้วยังอยากจะเป็นเจ้าของมันอีกด้วย ยิ่งเห็นคุณค่าของมัน เมื่อไปเลือกดูในแต่ละวัน มีแต่ราคาจะสูงขึ้นสูงขึ้น จนต้องตัดสินใจ ตั้งแต่นั้นมาปีละครั้งสองครั้ง หลังจากทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย หนิงขอเลือกให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อเพชรค่ะ โอ๊ะ! อย่าเพิ่งตกใจว่าจะรวยอะไรนักหนา เปล่าหรอกค่ะ ก็ซื้อเม็ดเล็กบ้าง เม็ดใหญ่บ้าง ต่างหูบ้าง จี้บ้าง ไม่ได้ซื้อชิ้นใหญ่ๆ ไปซะหมด (ไม่งั้นหมดตัวแน่) ซื้อก็เพราะเพชรเครื่องประดับล้ำค่า ที่มูลค่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ถือเป็นสมบัติที่เราเก็บให้ลูกให้หลานได้ วันข้างหน้ายังเอาขายสร้างกำไรได้อีกด้วย นอกจากนี้แล้วยังเสริมราศีและบารมีเมื่อสวมใส่ ว่าง่ายๆ ก็คือ ซื้อเพรชถือเป็นการลงทุน และเชื่อไหมภายหลังจากคุณซื้อมันแล้ว จะเห็นว่ากระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า มันช่างมีค่าน้อยเหลือเกิน จนคุณอยากจะซื้อเพชร เพชร เพชรเท่านั้น จริงๆ ค่ะ เดี่ยวนี้ร้านเพชรมีมากมาย ไม่เชื่อลองไปดูในห้าง จะเห็นบูธขายเพชรเต็มไปหมด มีหลากหลายแบรนด์ หลากหลายดีไซน์ หรือถ้าจะเป็นร้านดังเลยก็มี แต่สาวๆ ที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับเพชร คงเริ่มกังวลว่าหากจะซื้อขึ้นมาจริงๆ จะต้องเลือกอย่างไร เพราะซื้อเพชรไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะคะ โชคดีว่าเรามีสถาบันต่างๆ ในการคัดเกรดเพชร ที่ยังบอกถึงวิธีการเลือกเพชรให้กับบุคคลทั่วไปที่สนใจซื้อเพชรอีกด้วย อย่างเช่นสถาบัน Gemological Institute of America หรือ G.I.A. ที่ให้ข้อแนะนำไว้ดังนี้ หนึ่ง วิธีการดูน้ำหนักเพชรว่ามีกี่กะรัตนั้นต้องจำไว้ว่า 1 กะรัต เท่ากับ 200 มิลลิกรัม ร้านเพชรบางแห่งอาจจะใช้ระบบ Point หรือจุดสำหรับเพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1 กะรัต นั่นก็คือ 1 กะรัตเท่ากับ 100 Point ครึ่งกะรัตเท่ากับ 0.5 Point สอง วิธีการดูความใสสะอาดของเพชรเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเพชรนั้นมีตำหนิหรือไม่ โดยทางสถาบัน สถาบัน G.I.A. จะใช้ระบบเกรดตั้งแต่ FL ถึง 13 กล่าวคือ FL คือเกรดเพชรที่ไม่มีตำหนิใดๆ และหายากมากๆ ส่วนเกรด 11, 12 หรือ 13 หมายถึงเพชรที่คุณสามารถเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่า ฉะนั้นแบบนี้ไม่ควรซื้อค่ะ สาม วิธีการดูสีเพชร สีของเพชรนั้นจะถูกกำหนดากความเหลืองที่มีอยู่ในเพชรเม็ดนั้น ทางสถาบัน G.I.A. โดยส่วนใหญ่เพชรสำหรับแหวนหมั้น มักจะใช้เกรดสี G หรือ H เพราะยังถือว่าขาว และแทบไม่เห็นสีเหลือง ส่วนใครอยากรู้ เกรด D ราคาเท่าไหร่ ไปถามในร้านดูสิค่ะ เพราะมันแพงเหลือหลายค่ะ สี่ การดูคัทของเพชร การดูทรงเหลี่ยม สัดส่วน สไตล์ของเพชรแต่ละเม็ด โดยส่วนใหญ่จะกำหนดคัทของเพชรจากทรงของมัน นักลงทุนส่วนใหญ่จะเลือกทรงกลม เพราะมีค่ามากกว่าทรงอื่นๆ หรืออย่างแหวนหมั้นหนิงคัท Heart & Arrow หรือคัทหัวใจและลูกศร ก็คือเวลาเล่นกับไฟ เมื่อดูเพชรดีๆ เห็นรูปหัวใจและลูกศรอยู่ข้างในเพชร แน่นอนนะคะว่าเพชรที่มีคัทพิเศษหน่อยก็ราคาสูงกว่าคัทแบบธรรมดาค่ะ เอาล่ะค่ะ พอจะรู้วิธีการเลือกเพชรกันแล้ว เวลาจะไปซื้อจะไดทันคนขาย ทีนี้ก็มาถึงการเลือกซื้อจริงๆ แล้วล่ะ อย่าใจร้อนเชียวนะคะ การซื้อเพชรต้องใช้เวลาค่อยๆ ดู ศึกษามัน แล้วค่อยตัดสินใจ เพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ หนิงเลยมีวิธีการหรือขั้นตอนในการซื้อเพชรที่หนิงใช้อยู่เป็นประจำมาฝากค่ะ ประการแรก ถามตัวเองให้ดีก่อนว่าอยากได้เครื่องประดับเพชรแบบไหน และที่สำคัญที่สุดมีงบประมาณเท่าไหร่ ประการที่สอง ต้องเลือกร้านที่ไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ และแน่นอนต้องมี certificate หรือคนไทยเรียกว่า ใบเซอร์ พูดง่ายก็คือเป็นใบประกาศที่ได้รับรองจากสถาบัน ซึ่งในอนาคตหากคุณไปขายต่อก็จะง่ายขึ้น และราคาไม่ตก แถมยังเป็นการรับประกันว่าของคุณนั้นเพชรจริงแท้แน่นอน ร้านเพชรที่ดีจะไม่คะยั้นคะยอให้คุณซื้อ แต่จะให้คุณคิดพิจารณาตามสบาย กลับบ้านไปคิดอีก 2 อาทิตย์ก็ได้ หากคุณเข้าร้านไหนแล้วไม่สบายใจ อย่าเกรงใจไปเลยนะคะ ยังมีร้านอื่นๆ อีกมากมายให้คุณเลือก ประการที่สาม อย่างที่บอกไปแล้ว ก่อนซื้อเพชรก็ต้องมีความรู้เรื่องเพชรให้คนขายได้เห็น นั่นก็คือ 4C ข้างต้นที่หนิงบอกไปแล้ว carat, color, clarity และ cut จะได้ไม่โดนคนขายหลอกเอานะคะ ประการที่สี่ พยายามเลือกเพชรที่ส่องประกายวับวาว เจิดจรัส และเล่นไฟ เพื่อจะได้ไปส่องตาใครต่อใครเวลาที่ส่วมใส่ไงละคะ ประการที่ห้า พยายามเปรียบเทียบราคาแต่ละร้าน ใช่แล้วค่ะ จะเลือกซื้อทั้งที ต้องดูหลายๆ ที่นะคะ บางแห่งเพิ่มราคาสูงเพราะค่าเช่าสถานที่อาจจะแพง ฉะนั้น้องเลือกให้ดี ราคาสมเหตุสมผล หรือถ้าไปแหล่งขายเพชรเลยก็มั่นใจได้ว่าไม่น่าจะเพิ่มราคาค่าเช่าที่มากนัก ประการที่หก อย่าลืมดูบริการหลังการขายด้วยค่ะ ว่าร้านที่คุณจะซื้อนั้น จะให้บริการหลังการขายอะไรบ้าง อย่างเช่นทำความสะอาดให้ตลอดชีพ หรืออาจจะเปลี่ยนตัวเรือนหรือในแบบราคาพิเศษ ถ้าได้ร้านแบบนี้ก็ถือว่าโชคดีคะ ประการที่เจ็ด ซื้อแล้วบางร้านยังมีบริการทำเลเซอร์สลักชื่อ หรือวันเดือนปีเกิดให้บนตัวอักษรย่อ พร้อมวันเดือนปีที่หมั้น ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจได้ด้วยค่ะ ประการสุดท้าย ซื้อแล้วก็ดูหน้าดูหลังด้วยนะคะ ไม่ใช่มัวแต่ชื่นชม จนไม่รู้ว่าอาจมีมิจฉาชีพแอบดูคุณอยู่ ทางที่ดีที่สุด อย่าไปซื้อคนเดียว ได้ของแล้วเก็บให้มิดชิด หรือไม่ก็ใส่ไว้เลยค่ะ เอาล่ะ รู้วิธีเลือกซื้อเพชรกันแล้ว ก็ถึงเวลาที่สาวๆ จะหารางวัลให้กับตัวเองซะที แล้วคุณจะรู้ว่าเพื่อนแท้ของลูกผู้หญิง คือเพชรจริงๆ