9 ปี คลับฟรายเดย์ ดีเจพี่ฉอด หลังไมค์...คลื่นศิราณี

9 ปี คลับฟรายเดย์ ดีเจพี่ฉอด หลังไมค์...คลื่นศิราณี

9 ปี คลับฟรายเดย์ ดีเจพี่ฉอด หลังไมค์...คลื่นศิราณี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขณะที่ใครหลายคนกำลังดื่มด่ำอยู่กับการออกไปปาร์ตี้ในค่ำคืนวันศุกร์ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยคอยนั่งเฝ้าหน้าปัดวิทยุ หมุนคลื่นสัญญาณไปยังพิกัด "106.5 FM" อันเป็นที่ตั้งของคลื่นวิทยุ "กรีนเวฟ" เพื่อรอฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตรักในรายการ "คลับฟรายเดย์"

โดยมีดูโอดีเจชื่อดังอย่าง "พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา)" กับ "พี่อ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล)" คอยรับฟังสารพันปัญหาจากผู้ฟังปลายสายที่โทร.เข้ามาปรึกษา พร้อมช่วยมองหาทางออกและบอก

ข้อแนะนำที่ดีผ่านคลื่นวิทยุไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ 3-5 ทุ่มทุกคืนวันศุกร์มาเป็นระยะเวลากว่า 9 ปีเต็ม ก่อนจะมีการพัฒนานำเรื่องราวความรักในรายการมาตีพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือบอกเล่าความดราม่าจากรายการอีกหลายเล่มหลังจากนั้นจึงมีการแปรสภาพเนื้อหาเหล่านั้นให้กลายมาเป็น "เพลง" และ "Club Friday The Series" ในเวลาต่อมา สามารถสร้างกระแสฮิตได้จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ ซีซั่น 4 ตอน "หรือรักแท้จะแพ้ความต้องการ" ที่ได้นักแสดงแถวหน้าอย่าง "ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย", "สายป่าน-อภิญญา สกุลเจริญสุข" และ "เจสัน ยัง" มาร่วมสวมบทบาทรักสามเศร้าในครอบครัวเดียวกัน "แม่กับลูกมีสามีคนเดียวกัน" เป็นเรื่องราวสะเทือนใจที่ "คุณแอร์" ในฐานะลูก

ได้เล่าผ่านรายการวิทยุคลับฟรายเดย์ ได้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความแรงของเนื้อหาระหว่างแม่กับลูก รวมทั้งเกิดการสืบค้นกันอย่างมากมายในโลกโซเชียลว่าเป็น "เรื่องจริง" หรือ "เรื่องแต่ง" กันแน่ จนสุดท้ายได้มีหลักฐานจากฟากออนไลน์หลุดออกมาว่า "ตัวตนของคุณแอร์น่าจะไม่มีจริง" ทำให้เกิดเป็นกระแสแง่ลบโหมใส่คลับฟรายเดย์อย่างหนัก ทำให้ดูโอดีเจศิราณีต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงผ่านสื่ออย่างจริงจัง

จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นประจวบเหมาะขวบปีที่9 ของคลับฟรายเดย์ ช่วงบ่ายวันฝนกระหน่ำกรุงเทพฯแบบมืดฟ้ามัวดิน "ดีไลฟ์" ได้นัดพูดคุยกับ "ดีเจพี่ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (CEO-GMM MEDIA) บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ถึงเรื่องราวของคลับฟรายเดย์ในช่วงก่อนหน้า

"ความจริงเรื่องราวของน้องแอร์เคยเป็นกระแสพูดถึง และถูกนำไปวิเคราะห์ในโลกออนไลน์แล้วครั้งหนึ่ง เพราะมันมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงกระทบต่อความรู้สึกคน ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงแรกที่พี่อ้อยเสนอให้เอาเคสของน้องแอร์มาออกอากาศทางวิทยุเป็นครั้งแรก แต่ในที่สุดกระแสของเรื่องนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งเราหยิบนำเรื่องนี้มาทำเป็นซีรีส์และออกอากาศไปในเดือนสิงหาคม"

พี่ฉอดเกริ่นเปิดประเด็นถึงกระแสดราม่าของคลับฟรายเดย์อธิบายถึงเหตุผลที่หยิบเรื่องราวดังกล่าวมาทำเป็นซีรีส์ว่าเกิดขึ้นจากโจทย์หลักที่สำคัญสุดของคลับฟรายเดย์ทั้งวิทยุและโทรทัศน์ที่ต้องเป็นเนื้อหาที่นำเสนอออกไปแล้วเป็นประโยชน์หรือให้อะไรกับคน ซึ่งเรื่องราวของน้องแอร์ถือเป็นเคสตัวอย่าง ที่สามารถก้าวข้ามปัญหาหนักหนาในชีวิตมาได้

"เราจึงเชื่อว่าคนที่ได้ดูตอนของน้องแอร์ก็น่าจะเกิดความรู้สึกว่า "เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน" แต่ส่วนตัวคิดว่าที่ทำให้เรื่องนี้กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง น่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากโปรดักชั่นและความสามารถของนักแสดง ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสและความรุนแรงของเนื้อหาให้มากขึ้นกว่าในวิทยุก็เป็นได้ อีกส่วนหนึ่งที่เป็นตัวจุดประเด็นก็น่าจะมาจากคนที่ไม่รู้จักคลับฟรายเดย์จริง จึงไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าความจริงยังมีเรื่องราวที่แรงยิ่งกว่านี้อยู่อีก ซึ่งไม่จำเป็นต้องมองมาที่คลับฟรายเดย์อย่างเดียวก็ได้ เพราะข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ตอนนี้ก็มีให้เห็นเต็มไปหมด"

สำหรับเรื่องราวปัญหาความรักรูปแบบต่างๆ จากคลับฟรายเดย์ พี่ฉอดมองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวไปตามยุคสมัย ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะไม่มีปัญหารุนแรงเท่ากับปัจจุบัน วันนี้เราอาจจะถือสากับเรื่องความผิดถูกน้อยลง จึงทำให้เกิดเคสที่คนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า "เฮ้ย ! ฉันไปรักคนที่มีเจ้าของแล้ว ฉันอยากจะแย่ง" หรือ "วันนี้ฉันไม่ได้ยุ่งกับคนของเขา ฉันยุ่งแต่กับตัวเขา"

"ไม่มีความรักไหนที่มีความสุขได้บนความคิดที่ไม่ถูกต้อง บนความคิดที่ไม่ดี เราต้องพยายามสอดแทรกสิ่งเหล่านี้เข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ"

นอกจากนี้ พี่ฉอดยังย้อนความทรงจำวันแรกของการจัดรายการคลับฟรายเดย์ให้ฟังว่า ตอนนั้นไม่เคยคิดจะลากรายการให้มาจนถึง 9 ปีแบบที่เป็นอยู่ แถมยังกลัวด้วยซ้ำว่าจะมีคนโทร.เข้ามาคุยด้วยหรือเปล่า เพราะถ้าไม่มีใครโทร.เข้ามาก็คงต้องเลิกทำ แต่ไม่เคยคิดที่จะสร้างเรื่องขึ้นมาเองอยู่ในหัวแม้แต่น้อย

"พี่กล้าเอาเกียรติของชีวิตดีเจเป็นเดิมพันเลยว่าตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีสักครั้งที่คิดจะเมกเรื่อง เราคิดแค่ว่าถ้าไม่มีก็จบ เลิกทำเท่านั้นเอง เพราะเรารู้ว่าไม่มีทางเมกไปได้ตลอดทั้งชีวิต มันคงทำไม่ได้"

หัวเรือใหญ่ของค่ายเอไทม์อธิบายเพิ่มเติมถึงความเป็นคลับฟรายเดย์ว่า "ไม่ได้อยู่ที่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง" เพราะเนื้อหาทั้งหมดที่ถูกส่งเข้ามาในรายการนั้นเป็น "เคสสตัดดี้" "บางทีเราอาจจะยังเข้าใจคำว่า Base on true story ต่างกัน เพราะ Base on true story คือเรื่องที่มีพื้นฐานจากเรื่องจริง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แล้วในขณะเดียวกัน ซีรีส์ของเราก็จะมีก๊อบปี้ขึ้นตลอดว่า "เรื่องราวเหล่านี้ถูกดัดแปลงตามความเหมาะสมเพื่ออรรถรสของการเป็นละคร" เพียงแต่คนที่หยิบยกมาเป็นประเด็นนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำ ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่ามาจากสังคมในปัจจุบันเปิดโอกาสให้คนสามารถพูดอะไรก็ได้ อยากพูดอะไรก็พูด จนทำให้เรื่องราวเลยเถิดไปกันใหญ่ มีการด่าทอกันมากขึ้น สรุปมองคนอื่นในมุมไม่ดีมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนนั้น ๆ เขาเลวร้ายจริงหรือเปล่า"

พี่ฉอดเสริมความเห็นว่า สังคมทุกวันนี้กำลังขาดเมตตาธรรม บางทีเวลาที่ใครสักคนทำอะไรผิดพลาด เขาอาจจะมีเหตุผลในแบบของตัวเองที่จำเป็นต้องทำก็ได้ อีกทั้งการออกมาด่าทอใส่กันเมื่อทำความผิด ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

"เราไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันใหญ่โต แต่อย่างน้อยมันก็เป็นพื้นที่ให้คนกลุ่มหนึ่งได้มีพื้นที่พึ่งพิง หากวันหนึ่งพื้นที่ตรงนี้ไม่มีแล้ว จะเป็นการเสียไปเปล่า ๆ เราควรจะคิดและพูดอย่างมีความรับผิดชอบให้มากกว่านี้อีกนิด มีสติกันมากกว่านี้ ด่ากันให้น้อยลง เราจะมีชีวิตที่มีประโยชน์มากขึ้น"

พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ พี่ฉอดจึงได้ชี้แจงว่า เรื่องราวที่ได้รับการบอกเล่าในคลับฟรายเดย์ เป็นเพียงโมเมนต์สั้น ๆ ช่วงหนึ่งในชีวิต และเป็นการฟังความข้างเดียวจากคนที่โทร.มาเท่านั้น

ดังนั้น เวลาหยิบมาทำเป็นซีรีส์ จึงต้องเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเข้าไป เพื่อให้ออกมาเป็นชิ้นงานที่ละครเรื่องหนึ่งควรจะเป็น รวมทั้งยังต้องเป็นประโยชน์ให้กับคนดูด้วย

"หลายซีนของเรื่องน้องแอร์ เราได้เติมลงไป เรามโน เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์จริงในวันนั้นเป็นยังไง แต่บังเอิญว่ามันดันไปตรงกับความเป็นจริง เพราะคุณแม่ของน้องแอร์ได้โทร.เข้ามาเล่าให้ฟัง ซึ่งความจริงเป็นการโทร.มาเพื่อขอเบอร์ติดต่อน้องแอร์เท่านั้น ไม่ได้เกิดจากการจุดประเด็นหรือปั้นเรื่องขึ้นมาเรียกกระแสแต่อย่างใด เพราะเราไม่รู้ว่าจะแต่งเรื่องเพิ่มจากเดิมไปทำไม ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวมันก็จบของมันไปดี ๆ อยู่แล้ว เมื่อเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ จึงอยากบอกว่าเรื่องจริงมันยิ่งกว่านิยายเสียอีก"

ปมปัญหาความรักไหนที่หนักหนาสุด ตั้งแต่เริ่มทำรายการคลับฟรายเดย์มา 9 ปี ?

"เอาเข้าจริงแล้ว การรับเคสเยอะมากมาเป็นเวลา 9 ปี ได้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนหมอไปแล้ว ไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งเหมือนหมอ เราเป็นที่พึ่งของคนป่วยที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนตอนนี้เราไม่รู้สึกว่าจะมีเรื่องไหนที่คิดว่ามันน่ามหัศจรรย์แล้ว เราคิดว่าทุกเรื่องสามารถเป็นไปได้ทั้งหมด เพียงแต่จะกล้าหยิบขึ้นมาพูด และยอมรับความจริงว่ามันมีปัญหาแบบนี้อยู่หรือเปล่า อีกอย่างปัญหาความรักหรือความสัมพันธ์มันมีไม่กี่หัวข้อเท่านั้น จะแตกต่างกันตรงดีเทลของเรื่องเท่านั้น"

พี่ฉอดอธิบายว่า สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงคำตอบของทุกคำถามเป็นอย่างมาก เพราะอาจจะส่งผลให้คนที่ฟังอยู่ตัดสินใจทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป ทำให้คำตอบที่มีให้

ในรายการจึงไม่ใช่การฟันธงถูกผิดในปัญหานั้น ๆ อีกทั้งคนที่โทร.เข้ามาส่วนใหญ่อยากพูดระบายและต้องการคนรับฟังเท่านั้น ซึ่งการพูดคุยกันในรายการนั้น ความจริงอาจไม่สามารถให้คำแนะนำใครได้เลย

"เพราะปัญหาความรักเป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดกับทุกคน เป็นปัญหาที่ทุกคนมีคำตอบอยู่แล้ว พี่ไม่เชื่อหรอกว่าคนที่โทร.เข้ามาไม่รู้คำตอบ เขารู้อยู่ว่าควรจะทำยังไง แต่บางทีเขาอาจไม่ยอมรับความจริง เขาอาจจะยังพยายามดิ้นรนอยู่ เอาเข้าจริง ๆ แล้ว คำตอบของเราไม่ได้สำคัญเท่ากับเป็นที่พึ่งพาและคอยรับฟังปัญหาของเขา พี่ฉอดกับพี่อ้อยมักจะพูดกันเสมอว่า การจัดคลับฟรายเดย์ไม่ได้เป็นเพียงแค่รายการวิทยุเท่านั้น แต่ตอนนี้เป็นเหมือนกับมิราเคิลในชีวิตของเราทั้งสองคน" พี่ฉอดปิดท้ายพร้อมรอยยิ้ม

หลังจบบทสนทนาอันยาวนานกับดีเจพี่ฉอดแล้ว ก็พบว่าท้องฟ้าที่มืดมัวไปด้วยลมฝนก่อนหน้านี้ได้จางหายจนหมด คล้ายกับสภาพดินฟ้าอากาศกำลังแสดงภาพแทนค่าปมปัญหาดราม่าคลับฟรายเดย์ที่คลี่คลายลงไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook