เรื่องน่ารู้กับค่า UV – SPF – PA
หลากหลายครีมที่สาวๆ ซื้อ ไม่ว่าจะครีมกันแดดหรือครีมบำรุง ก็มักจะมีอักษาย่อของ UV SPF และ PA อยู่ในนั้น ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีข้อมูลแตกต่างกัน วันนี้เรามาทำความเข้าใจกับค่าต่างๆ ที่อยู่บนขวดผลิตภัณฑ์เหล่านั้นกันดีกว่าค่ะ
รังสี UV คือ…
1. UVA เป็นรังสีคลื่นยาว ซึ่งความยาวคลื่น 320 – 400 nm คลื่นรังสีนี้สามารถทะลุทะลวงผ่านเข้าชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ได้ สามารถเข้าไปทำลายโครงสร้าง สร้างความเสื่อมโทรมให้กับคอลลาเจนและอิลาสตินเจน หมดความยืดหยุ่น ก่อให้เกิดความเหี่ยวย่นของผิวหนัง แต่ไม่ทำให้เกิดการอับเสบของผิวหนัง
2. UVB เป็นรังสีคลื่นสั้น ช่วงความยาวคลื่น 290 – 320 nm เมื่อผ่านเข้ามาสัมผัสร่างกาย จะผ่านชั้นหนังกำพร้าแล้วหนังแท้ด้านบนเข้าไปได้เท่านั้น ไม่สามารถเข้าลึกกว่านั้นได้ แต่รังสี UVB นั้นมีอยู่มาก และเป็นสาเหตุของการเกิดผิวไหม้อับเสบ
3. UVC เป็นรังสีคลื่นสั้น ช่วงความยาวคลื่น 200 – 290 nm แสงช่วงนี้ส่วนใหญ่จะถูกดูดซับโดนก๊าซโอโซนในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบในรังสีชนิดนี้ แต่หากในอนาคต ชั้นบรรยากาศไม่สามารถดูดซับได้หมด รังสีUVC ก็จะเป็นอีกหนึ่งรังสี ที่เราจะหาทางรับมือป้องกันมัน
ค่า SPF คือ…
ค่า SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นตัวระบุระดับการปกป้องผิวจากรังสี UVB หรือ ก็คือจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตนี้ได้หลังจากทาครีมกันแดดแล้ว ซึ่งโดยปกติผิวของเราจะรับมือกับแสงแดดโดยปราศจากครีมกันแดดได้ประมาณ 20-30 นาที ถ้าครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์นั้นระบุไว้ว่า SPF30 ก็จะหมายถึง เราสามารถอยู่กลางแดดได้ประมาณ 30×30 = 900 นาที หรือ 15 ชั่วโมง โดยที่ผิวไม่ไหม้แดง แต่กระนั้นการคำนวณอาจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากครีมกันแดดที่ทาบนผิวอาจลบเลือนไปเมื่อเหงื่อออก โดนน้ำ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่าง ค่า SPF และ % การปกป้องแสง UV
- ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
- ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
- ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
- ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
- ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
- ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
- ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
- ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
ค่า SPF สูงๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่า จะปกป้องแสดงแดดได้ดีไปกว่า ค่า SPF ที่ต่ำกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ค่า SPF สูงๆ นั้นจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และยังเป็นไปไปได้ว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้เช่นอาจ จะเกิดผดผื่นคันได้ นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้สีผิวของเราไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยด่างขึ้นได้ และยังอาจจะทำให้เสื้อผ้าเป็นคราบสีเหลืองติดเสื้อผ้าอีกด้วย
ค่า PA คืออะไร…
PA หรือ Protection Grade of UVA คือ สารที่ทำหน้าที่ปกป้องแสง UVA ( ค่ารังสี UV ที่สูงกว่า UVB ) โดยจะมีด้วยกัน 3 ระดับคือ
1. PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ได้ 1-3 เท่า
2. PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง ป้องกันได้ 4-5 เท่า
3. PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด ป้องกันได้ 6-8 เท่า
คงจะทำให้สาวๆ เข้าใจความหมายของค่าต่างๆ ที่อยู่บนขวดของครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกันแล้วนะคะ สำหรับค่า SPF ทำหน้าที่ในการ Protection รังสี UVB ซึ่งขึ้นอยู่กับค่า SPF ของครีมกันแดดนั้น ๆ ส่วนค่า PA+++ ทำหน้าที่ในการ Protection รังสี UVA ( คลื่นความถี่รังสี UV ที่แรงกว่า UVB ) จะป้องกันได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนบวก ถ้าบวก 3 ตัวเท่ากับว่าเป็นค่าสูงสุดในการป้องกันแสงแดด UVA นั่นเอง ดังนั้นทุกครั้งที่เราเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ เราควรคำนึงถึงความเหมาะสมและประสิทธิภาพในการใช้งานให้ครบครัน เพื่อการดูแลปกป้องผิวของเราไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้ายมากจนเกินไปและช่วยบำรุงผิวพรรณเราให้กลับมาชุ่มชื้นสดใสอยู่เสมอค่ะ
ติดตามเรื่องราวของผู้หญิง ได้ทาง WomanPlus Magazine
ติดตามอ่านแบบออนไลน์ได้ที่ WomanPlus Magazine Online
หรือ ติดตามอ่านฉบับ Mobile App รายละเอียดได้ที่ http://www.womanplusmagazine.com/e-magazine
ติดตามคอลัมน์อื่นๆ เพิ่มเติม ดาวน์โหลดนิตยสารในเครือจีเอ็มได้แล้วที่