10 ชิ้นโดนใจ Lady ถูก และดี ยังมีอยู่ในโลก
เห็น Review สกินแคร์ และเครื่องสำอางของสาวๆ สมัยนี้แล้วหัวใจ “ป้าเฉย” แทบหยุดเต้น เพราะสงสัยว่าหนูๆ ที่เรียนมหาวิทยาลัย หรือเริ่มทำงานมาไม่นาน เอาเงินที่ไหนไปซื้อของแบรนด์เนมใช้กัน ตั้งแต่ครีมบำรุงหนังหน้า ยันครีมทาส้นเท้า ถ่ายภาพมาแต่ละแบรนด์ทั้ง Chanel, Clinique, La Mer หรือแม้แต่ SKII ที่ป้าเจี๊ยบ-โสภิตนภาเป็นพรีเซ็นเตอร์
สินค้าบางชิ้น กวาดเงินเดือนกว่าครึ่งเดือนของพนักงานออฟฟิศเลยนะจ๊ะ ป้าขอบอกตรงนี้เลยว่า “ป้าไม่กล้าพอ”
“ป้าเฉย” เลยมีไอเดียหยิบ 10 ชิ้นโดนใจ Lady ที่ “ถูก” และ “ดี” นอกจากป้าจะลองใช้แล้ว สาวฉลาดใช้ชีวิตในโลกออนไลน์หลายคนก็แนะนำ มาเริ่มกันเลยจ้าหนู หนู
1. Olay Natural White Ageless Aura ขนาด 5 กรัม ราคาซองละ 20 บาท (หาซื้อได้ที่เซเว่นอีเลฟเว่น) ตัวแรกเป็นครีมบำรุงผิวแบบ 2 in 1 จากตัวแม่ตลอดกาลของเราอย่างโอเลย์ค่ะ ซองนี้เป็นตัวช่วยในการเผยผิวออร่ากระจ่างใสและปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอได้ดีมาก แถมยังช่วยป้องกัน และลดเลือนริ้วรอยได้อีก ใช้แล้วรู้สึกได้ทันทีว่าผิวอิ่มน้ำ และนุ่มฟูแบบรู้สึกได้ เพราะเขาคิดสูตรมาแล้วว่าเหมาะกับสภาพผิวของหญิงสาววัย 20 ต้นๆ โดยเฉพาะ ป้าอ่านส่วนผสมข้างซองแล้ว เห็นว่ามีทั้ง Niacinamide (Vitamin B3) ที่นอกจากจะช่วยบำรุงผิวแล้ว ยังช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย แหม รู้ค่ะว่าหนูๆ อาจจะยังไม่ต้องเผชิญริ้วรอยอย่างป้า แต่ในฐานะที่อาบน้ำร้อนมาก่อน บอกเลยว่า กันไว้ดีกว่าแก้แน่นอน
นอกจากนี้ โอเลย์ซองม่วงตัวนี้ยังช่วยให้ผิวเรียบเนียน เพราะมี Mulberry Root Extract สารสกัดธรรมชาติจากรากต้นมัลเบอร์รี่ ช่วยคืนชีพให้ผิวสวยกระจ่างใสเมื่อใช้เป็นประจำได้ดีอีกด้วย ที่สำคัญคือ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดไปในตัว เพราะมีส่วนผสมของ SPF 15/PA บอกเลยว่า ครบ จบในซองเดียว
2. ครีมกันแดด SpectraBan Sensitive SPF30 ขนาด 20 กรัม ราคา 180 บาท (ราคาร้านขายยา) อย่างที่บอกว่าป้าเป็นสิวง่าย การเลือกครีมกันแดดยิ่งยาก เพราะส่วนใหญ่เนื้อครีมกันแดดจะมัน ความมันของเนื้อครีมพอมาผสมกับความมันบนหน้าป้า หน้าเลยยิ่งแวววาวไปกันใหญ่ ป้าลองมาหลายยี่ห้อ ลองจนท้อ ครั้นจะไม่ทาครีมกันแดดก็ไม่ได้ แดดบ้านเราแผดเผาแบบไม่เกรงใจ เพื่อนป้าบางคนนางโบกครีมกันแดด SPF สูงๆ จนป้ายังเผลอแซวว่าแกจะไปทำนารึไง… ผลของการลองไปเรื่อย ทำให้หน้าแพ้ครีมกันแดด สิวเห่อ หน้าเยิน และในที่สุดป้าก็มาเจอเนื้อคู่ ครีมกันแดดยี่ห้อนี้เนื้อครีมสีขาวข้นเหมือนครีมกันแดดทั่วไป แต่เมื่อทาแล้ว กลับไม่ทำให้หน้ามัน ที่สำคัญหน้าไม่วอกเหมือนครีมกันแดดบางยี่ห้อ จึงเหมาะมากสำหรับคนที่ผิวมันและเป็นสิวง่าย อ้อ..สิ่งที่การันตีความดีงามของครีมกันแดดตัวนี้อีกอย่างคือ เป็นหนึ่งในครีมกันแดดที่คุณหมอผิวหนังแนะนำ
3. ลิปแคร์ ตราเภสัชกร ราคาไม่เกิน 20 บาท ขนาดตลับประมาณยาหม่องถ้วยทองตลับกลาง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าลิปแคร์ แม้เนื้อลิปจะมีสีชมพู แต่เนื้อลิปกลับไม่มีสี เป็นแค่เนื้อมันๆ บำรุงริมฝีปาก กลิ่นเนื้อลิปหอมอ่อนๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับอากาศในหน้าหนาวที่อาจทำให้ริมฝีปากคุณผู้หญิงแห้งและแตก เห็นเนื้อลิปเต็มตลับแบบนี้แล้วใช้ได้นานโขอยู่ค่ะ
4. Loose Powder Natural ยี่ห้อ MUJI ขนาด 6 กรัม ราคา 395 บาท เมื่อก่อนป้ายึดคอนเซ็ปต์ “หน้าสด” ซึ่ง “น่ากลัว” 555 แต่ตอนนี้ป้าต้องลงแป้งบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้น “หน้า” จะไม่เป็น “หน้า” ที่ผ่านมาใช้หน้าเป็นหนูทดลอง ลองแป้งตัวนั้นตัวนี้ ปรากฏว่าแพ้ เป็นสิวอุดตัน จนมีเพื่อนที่ประสบปัญหาเดียวกันแนะนำแป้งฝุ่นของ MUJI ซึ่งจริงๆ มี 2 สูตร อีกสูตรหนึ่งจะมี Shimmer พอลองแล้วเหมือนมีประกายเพชรบนผิว ป้าเลยเลือกสูตรธรรมชาติ เนื้อแป้งละเอียด ไร้กลิ่น ทาตอนแรกหน้าอาจดูวอกๆ หน่อย แต่สักพักเนื้อแป้งจะเข้ากับผิวหน้าเอง ที่สำคัญไม่เป็นสิว อาจจะคุมความมันได้ไม่ดี ต้องเติมระหว่างวัน แต่ก็เหมาะกับคนที่หน้าเป็นสิวง่าย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคนเป็นสิวแทบจะไม่แนะนำให้ใช้เครื่องสำอางชิ้นใดเลย นอกจากการล้างหน้าให้สะอาด
5. Johnson’s Baby Oil ขนาด 50 มล. ราคา 48 บาท เมื่อเราเอาครีม แป้ง ต่างๆ ละเลงลงบนหน้าตั้งแต่เช้า ถึงตอนเย็นก็ได้เวลาทำความสะอาดผิวหน้า ก่อนล้างหน้าเราต้องเช็ดเครื่องสำอางสารพัดออกก่อน แม้ป้าจะไม่ใช่คนแต่งหน้า แต่ก็มีทั้งครีมกันแดดและแป้งฝุ่น ป้าเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางมาหลายยี่ห้อทั้งแบบที่พอล้างๆ แล้วจะกลายเป็นน้ำนม หรือเป็นแบบน้ำใสๆ เย็นๆ รวมไปถึงแบรนด์ดังชื่อเว่อร์ราคาแพง ใช้แล้วแทบอยากเอาหน้าซบดิน จนเพื่อนที่ชอบลองโน่นนี่มาแนะนำ “Baby Oil” ของใช้เบสิคสำหรับเช็ดตูดเด็ก แต่เปลี่ยนมาเช็ดเครื่องสำอางบนหน้าเราได้อย่างดีเยี่ยม หยดออยล์ลงบนสำลีแล้วค่อยๆ เช็ดหน้าทีละโซน คราบสกปรกจะออกมาจนใบหน้าสะอาด หลังเช็ดหน้า หน้าอาจจะมันสักหน่อย แต่ไม่ทำให้หน้าเป็นสิวจ้า
6. Soothing& Moisture Aloe Vera 92% ของ Nature Republic ขนาด 300 มล. ราคาไม่เกิน 200 บาท เจลว่านหางจระเข้ ป้าซื้อมาใช้นานแล้ว จนตอนนี้เขาปรับสูตรเป็นเนื้อว่านหางจระเข้ 98% แต่ราคาเหมือนเดิม ตอนแรกซื้อมาตั้งใจทาหน้า แต่ดันแพ้ เลยลองเอามาทาผิวหลังตากแดดจัด เออ… เย็นและสบายผิวดี จากนั้นก็ผสมกันระหว่างทาผิวกับทารักแร้ก่อนจำกัดขน โอ้ว… เนื้อบริเวณรักแร้ไม่เป็นหนังไก่ และไม่แสบผิวบริเวณที่โกนด้วยค่ะ คำเดียวคือ “เริ่ด”
7. สารส้มกำจัดกลิ่นตัว ยี่ห้อไหนก็ได้ สินค้าตัวนี้ป้าขอกดไลท์ให้เป็นล้านๆ ครั้ง เพราะใช้มาเป็น 10 ปี ป้าเริ่มใช้มาตั้งแต่เป็นก้อนแบบไม่มีแพ็กเกจ จนผู้ผลิตครีเอทเป็นรูปทรงและขนาดที่เหมาะมือ ปัจจุบันพัฒนาสู่การใส่ฐานมีฝาครอบใสๆ บางยี่ห้อผสมสมุนไพรเข้าไปเพื่อเพิ่มมูลค่า จนตอนนี้กลายเป็นน้ำสารส้มบรรจุหลอดคล้ายโรลออนหลายๆ ยี่ห้อตามท้องตลาด ทำให้มีราคาตั้งแต่ 20 บาท ไล่ไปจนเกือบถึง 70 บาท (ขนาดซุปเปอร์สตาร์อย่างมาริโอ้ยังขายสารส้มเลยค่า) วิธีใช้ง่ายๆ ค่ะ แค่นำสารส้มไปแตะน้ำ หรือทาสารส้มขณะที่วงแขนยังชื้นอยู่ รับรองคุณจะมั่นใจ ไร้กลิ่นไปทั้งวัน ที่สำคัญรักแร้ไม่ดำ และวงแขนตรงเสื้อไม่มีคราบเหลืองเกาะ
8. แป้งระงับกลิ่นกาย ตราเต่าเหยียบลูกโลก ขนาด 22 กรัม ราคา 30 บาท ไม่ใช่ว่าป้าจะปันใจจากสารส้มไปให้แป้งตราเต่าเหยียบลูกโลกนะจ๊ะ แต่ที่ต้องลองเพราะชอบชื่อยี่ห้อ แล้วหลายๆ เสียงก็รับประกันถึงคุณภาพระดับปราบกลิ่น “เต่า” ได้อยู่หมัด ป้าเลยอยู่เฉยตามชื่ออีกไม่ได้ ลองไปซื้อมาใช้ ปรากฏว่าให้ผลใกล้เคียงกับสารส้ม ป้าถือว่าเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อาจจะชอบความรู้สึกแห้ง สบาย ตั้งแต่แรกใช้ วิธีใช้คือ หลังอาบน้ำ เช็ดรักแร้ให้พอหมาดๆ จากนั้นโรยแป้งลงบนฝ่ามือ แล้วทาบริเวณใต้วงแขน กลิ่นแป้งอาจฉุนไปหน่อย แต่เชื่อเถอะ สบายใจ มั่นใจ หายห่วงไปตลอดวัน
9. Jergens Overnight Repair Moisturiser ขนาด 100 มล. ราคา 95 บาท เลื่อนลงมาที่ผิวกายบ้างนะจ๊ะ หน้าหนาวแบบนี้ผิวป้าทั้งแห้ง บางจุดยังคันจนผื่นแดงขึ้น นี่เลยจ้ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ Jergens โดยเฉพาะสูตรนี้ ฟังดูดี เนื้อครีมสีขาว อาจจะดูข้นๆ สักหน่อย แต่พออาบน้ำเสร็จ ลองบีบเนื้อครีมลงบนฝ่ามือเล็กน้อย แล้วทาลงบนผิว เนื้อครีมจะค่อยๆ ซึมสู่ใต้ผิวหนัง แปลกที่แม้เนื้อครีมจะข้นแต่กลับไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมกลิ่นยังหอมอ่อนๆ สบายตัว ป้าเคยลองเปรียบเทียบกับมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ยี่ห้ออื่น เนื้อครีมข้นน้อยกว่า แต่กลับเหนียวเหนอะหนะ แถมกลิ่นยังไม่ค่อยหอมติดตัวอีก ป้าเลยยกใจให้ยี่ห้อนี้ อ้อ… มีหลายขนาดให้เลือกนะจ๊ะ แต่ราคาเริ่มต้นที่ 95 บาท
10. Mistine Foot Fix ขนาด 50 กรัม ราคา 65 บาท บอกแล้วว่าเราต้องดูแลตั้งแต่ “หนังหน้า” ยัน “ฝ่าเท้า” ป้าเฉยเป็นคนชอบเดิน แถมเวลาใส่รองเท้ายังไม่ชอบใส่ถุงเท้าอีก ส้นเท้าเลยแตกระแหง น่ารังเกียจ ลองซื้อครีมทาป้องกันส้นเท้าแตกยี่ห้อที่โฆษณาในทีวีมาหลายยี่ห้อก็ไม่หาย เวลานอนแล้วปลายเท้าโดนเส้นใยจากผ้าห่ม เกี่ยวกับร่องแตกของส้นเท้าจนรู้สึกรำคาญ แต่พอมาเจอครีมบำรุงส้นเท้าแตกของมิสทีนเข้าไป วิธีใช้คือ บีบครีมเล็กน้อย ใช้ฝ่ามือถูไปมาแล้วทาบางๆ ที่บริเวณส้นเท้า แป๊บเดียวหนังส้นเท้ากลับมาเรียบเนียนดุจหนังหน้า เดินฉลุย เรียบสบายเท้า
พอเห็นราคาแบบนี้ แต่กลับคุณภาพคับแก้ว กดเครื่องคิดเลขไปมา หากซื้อพร้อมๆ กันราคาแค่พันกว่าบาท ใช้ได้เป็นเดือนๆ แหม… แบบนี้จะไม่เรียกว่าคุ้มได้ยังไง เอาเป็นว่าใครที่อยากประหยัดสตางค์ จะลองเลือกใช้บางตัวผสมๆ กับของแบรนด์เนมที่คิดว่าดี และเหมาะกับตัวเองก็ได้นะ จะได้ทุ่นรายจ่ายต่อเดือนไปได้บ้าง
เรื่อง : ป้าเฉย