แก้ม กวินตรา กลับมาบ้านพร้อมรอยยิ้ม
กลับมาบ้านพร้อมรอยยิ้มปลื้ม น้องแก้ม กวินตรา โพธิจักร มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2551 เล่าถึงประสบการณ์ 1 เดือนในการร่วมกิจกรรมกับเพื่อนนานาชาติที่ประเทศเวียดนาม แน่นอนว่า จุดเด่นของการไปประกวดเที่ยวนี้ของน้องแก้มคือ การพิชิตรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ชุดดังกล่าวมีชื่อว่า สปิริต ออฟ ไฟติ้ง (Spirit of Fighting) ออกแบบโดย สถาปัตย์ มูลมา นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถ่ายทอดความงดงามผสานความกร้าวแกร่งของศิลปะแม่ไม้มวยไทย เป็นชุดการต่อสู้ป้องกันตัวที่ได้รางวัลชุดแต่งกายยอดเยี่ยมบนเวทีมิสยูนิเวิร์สต่อจาก คูราระ ชิบานะ นางงามญี่ปุ่น พิชิตได้จากชุดนักรบซามูไรหญิง เมื่อ ปี 2549 "ตอนที่ประกวดชุดประจำชาติ เมื่อใส่ชุดมวยโบราณออกมา ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนที่ทำท่าทางประกอบ เรียกเสียงเชียร์ได้อย่างฮือฮาขึ้นมา เป็นกำลังใจได้มาก" มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส กล่าว สำหรับท่าฝึกนี้ น้องแก้มไปเรียนจาก ปราโมทย์ เมษะมาน ผู้อำนวยการ โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ปราโมทย์ยิม พุทไธสวรรย์ ซึ่งจัดท่าทางความถนัดของมวยคาดเชือก หรือมวยโบราณ และมีท่าย่างสามขุม เพื่อให้เห็นถึงความเคลื่อนไหว แก้มกล่าวว่า ชุดนี้ทำให้ได้ฉายา "ไทยบ๊อกซิ่ง" ในการประกวด ดีใจที่คนจำเราได้ โดยที่เราถ่ายทอดว่าประเทศไทยเรามีมวยไทยเป็นเอกลักษณ์ จากที่เดิมชุดประจำชาติของเราจะเป็นโจงกระเบน ผ้าถุง หรือสไบ แต่จริงๆ แล้วชุดประจำชาติจะเป็นชุดที่สวยงามและคงเอกลักษณ์ของไทยเอาไว้ ซึ่งแก้มเข้าใจว่าชุดประจำชาติมาจากชุดที่ใช้ในการดำเนินชีวิตในสมัยก่อนของชาตินั้นๆ สำหรับผลรางวัลที่ได้รับ แก้มกล่าวว่า ปลื้มและดีใจมากสำหรับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม และ ขอขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกเสียงโหวตที่สนับสนุนและต้อนรับมาตลอด
"วินาทีแรกที่เขาประกาศผล รางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ตอนแรกก็สับสน เพราะไอร์แลนด์ กับไทยแลนด์ เรียกคล้ายกัน ยืนงงอยู่สักพัก จนทุกคนหันมามองจึงรู้ว่าเป็นเรา จึงเดินออกไป วินาทีนั้นเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุด เพราะเคยบอกไว้แล้วว่าแก้มใส่ชุดนี้แล้วแก้มมีความมั่นใจที่สุด และทำให้คิดถึงคนไทยทั้งประเทศด้วย" น้องแก้มเล่าด้วยว่า ในการประกวดครั้งนี้มีเพื่อนสนิทที่อยู่ห้องเดียวกัน เป็นนางงามฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ตุรกี ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ส่วนดายานา เมนโดซา ผู้คว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์ส 2008 ก็สนิทสนมกันดี เมนโดซาชอบชุดประจำชาติของไทย มาขอลองใส่ด้วย รวมถึงเพื่อนๆ ชาติอื่นๆ ก็ต่างชื่นชอบ แต่ทางกองประกวดเก็บชุดเอาไว้ จึงไม่มีใครได้ใส่ หลายคนจึงขอมาเรียนท่าทางมวยไทยแทน เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างเวทีระดับประเทศกับเวทีระดับโลก น้องแก้มกล่าวว่า แตกต่างตรงที่ความรู้สึกและบรรยากาศรอบข้าง เพราะที่ประเทศไทยเราสื่อสารและพูดคุยได้ทุกคน แต่เวทีระดับโลกยากที่การวางตัวและการสื่อสาร แต่ก็ประทับใจเพื่อนๆ และพี่เลี้ยงนางงามที่ต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี "สิ่งที่ได้จากการประกวดครั้งนี้คือความอดทน ไม่ว่าจะเรื่องการพูดภาษาอังกฤษและบรรยากาศรอบข้างที่มีความกดดัน รวมทั้งการรอคอยด้วย ซึ่งแก้มรู้สึกกดดันตั้งแต่ก้าวย่างเข้าประเทศเวียดนาม เพราะรู้ว่าทุกคนฝากความหวังไว้ที่แก้ม" นอกจากรางวัลชุดแต่งกายประจำชาติแล้ว น้องแก้มยังได้อีก 2 ถ้วยรางวัล คือ "สุดสวยในชุดอ่าวหญ่าย" อันดับ 3 และรางวัลขวัญใจมหาชนที่ได้ จากการโหวตในเว็บไซต์นางงาม www.missosology.org ของประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนอนาคตในวงการบันเทิงนั้น อยากลองทำในหลายๆ ด้านก่อนและดูว่าตนเองเหมาะสม กับอะไร ส่วนลึกแล้วก็อยากเล่นละคร ด้าน พ.จ.อ.เกรียงศักดิ์ โพธิจักร คุณพ่อ กล่าวว่า ภูมิใจจนพูดไม่ออก วันที่ประกวดนั่งลุ้นอยู่คนเดียว แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบการประกวด แต่มาถึงขนาดนี้ ก็ขอให้น้องแก้มทำให้ดีที่สุด และอย่าทิ้งการเรียน ไม่อยากให้เน้นทางนี้จนเกินไป "ไม่ใช่ว่าไม่สนับสนุน แต่เป็นห่วงเรื่องการเรียนมากกว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็หวังให้ลูกประสบความสำเร็จทางการศึกษา ไม่อยากให้มาทางด้านนี้ เพราะกลัวจะหลงระเริงมากเกินไป แต่มาถึงตอนนี้ก็ขึ้นอยู่ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพราะโตแล้ว" คุณพ่อกล่าว ส่วนคุณแม่ นางชุลีพร กล่าวว่า ภูมิใจมากที่น้องแก้มทำสำเร็จถึงขั้นนี้ และทำได้มากกว่าที่หลายๆ คนคาดไว้ ระหว่างการประกวดน้องแก้มโทร.มาคุยอยู่บ่อยๆ แม่ได้ให้กำลังใจว่าขอให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเครียด เพราะถ้าไม่ใช่ตัวเรา เราจะทำได้ไม่ดี และขณะนี้เป็นตัวแทนของประเทศไทยจะต้องอดทน และยอมรับสถานการณ์ให้ได้ ตอนนี้แม่คิดว่าน้องแก้มไม่ทำให้ประเทศไทยผิดหวัง