เกือบตายเพราะ ครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง
เกือบตายเพราะ HELLP Syndrome
“จู่ๆวันนั้นเอมก็รู้สึกจุกแถวๆ ลิ้นปี่ ทำอย่างไรก็ไม่หาย ตอนแรกนึกว่ากินน้ำอัดลมเยอะ แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าต้องแอดมิดเพื่อเตรียมผ่าคลอดลูกแทน ทั้งๆที่ตอนนั้นอายุครรภ์แค่ 27 สัปดาห์เท่านั้นเอง”
“ก่อนหน้านี้ไม่มีอาการอะไรเลย ทุกอย่างปกติดี ไปพบหมอทุกครั้งที่นัด น้ำหนักก็ขึ้นตามปกติ ไม่มีโรคประจำตัวใดๆทั้งสิ้น แต่สุดท้ายมันก็ยังเกิดขึ้นจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด” คุณแม่เอม-อภัณชนิต สัทธรรม คุณแม่ของน้องเทมส์-ด.ช. ฆฤน ประชานุรักษ์ วัย 7 ปี เล่าย้อนให้ฟังถึงเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้น เมื่อครั้งที่อุ้มท้องน้องเทมส์อยู่
“วันนั้นประมาณ 6 โมงเย็นก็เริ่มรู้สึกจุกแถวๆ ลิ้นปี่ ก็นึกว่ากินน้ำอัดลมเยอะเกินไป พอถึง 3 ทุ่ม ก็เริ่มหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก อาการจุกก็ยังไม่หาย เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาล พอไปถึงห้องฉุกเฉินวัดความดันได้ 220 คุณหมอเลยให้แอดมิด และบอกว่าอาจต้องยุติการตั้งครรภ์
“ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองมีภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง และมีกลุ่มอาการ HEELP Syndrome แต่คิดว่าคงเป็นหนักแล้ว เพราะตับบวม มีไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ หัวใจเต้นผิดปกติ และความดันสูงมาก ซึ่งเสี่ยงว่าแม่จะชักหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้
“แต่ตอนนั้นก็ยังไม่สามารถผ่าคลอดได้ทันที เพราะเอมมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หากผ่าตัดอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดจนทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งก็เจอปัญหาว่าเกล็ดเลือดไม่พออีก คืนนั้นทราบว่าทีมคุณหมอต้องประสานงานหาเลือดกันอย่างหนักเพื่อให้มีเลือดและเกล็ดเลือดเพียงพอ
“ระหว่างนั้นอาการของเอมก็หนักขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็มองไม่เห็น ตาพร่า เบลอไปหมด แล้วก็ปวดหัวมาก ความดันไม่ลดลงเลยจนถึงเช้า แล้วที่ตกใจและจำได้ติดตาคือเลือดออกเยอะมากตอนแปรงฟัน เยอะจนท่วมแก้วน้ำเลย จากนั้นคุณหมอก็แจ้งว่าคงต้องเลือกชีวิตคุณแม่ไว้ก่อน เพราะถ้ายื้อต่อไปอาจไปทั้งคู่
“พอรู้ก็พยายามตั้งสติ หลังจากนั้นคุณหมอก็อัลตร้าซาวด์ท้องดูและคำนวณว่าน้ำหนักลูกประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งคุณหมอบอกว่าน้ำหนักเท่านี้สามารถเลี้ยงเขานอกครรภ์ได้ ระหว่างนั้นเกล็ดเลือดของเอมก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ผ่าตอนนี้ เท่ากับรอเวลาเท่านั้น
“โชคดีมาก ระหว่างที่ผ่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรเลย น้องเทมส์คลอดออกมาน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 800 กรัมเท่านั้น ซึ่งเอมไม่ได้เห็นหน้าลูกทันที เพราะต้องไปเข้าตู้อบ และส่งไปอยู่อีกโรงพยาบาล ส่วนเอมต้องพักรักษาตัวเองอีก 7 วัน ถึงจะไปหาลูกได้
คุณที-นที ประชานุรักษ์ คุณพ่อน้องเทมส์ เล่าให้ฟังถึงวินาทีที่ได้เห็นลูกครั้งแรกว่า “ลูกตัวเล็กมาก เนื้อก็ติดกระดูก ตัวก็แดง มีสายระโยงระยางและท่อเต็มไปหมด น้องเทมส์ต้องอยู่ในตู้อบถึง 4 เดือนครึ่ง โดยตลอดเวลาเหล่านั้นก็มีเรื่องให้ลุ้นตลอด ทั้งกินอาหารไม่ได้ แม้กระทั่งนมแม่ ต่อมไทรอยด์ใต้สมองมีปัญหา เป็นโรครูท่อปัสสาวะเปิดต่ำ ซึ่งต้องผ่าตัดตอน 1 ขวบ มีแคลเซียมเกาะที่ไต มีอาการซีด ต้องให้เลือด และอีกมากมาย ต้องคอยมอร์นิเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด”
ถึงแม้คุณเอมและคุณทีจะพบเจอกับเรื่องราวหนักหนาแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งสัมผัสได้คือ การมีสติ คุณทีกล่าวว่า “สิ่งที่เราทำได้เมื่อเจอเรื่องหนักหนาสาหัสคือการให้กำลังใจกันและกัน พูดคุยกัน ท้อได้แต่ต้องดึงตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด มันไม่ใช่แค่สู้เพื่อตัวเรา แต่ต้องสู้เพื่อลูกด้วย เพราะลูกต้องการกำลังใจจากเรา ไม่อย่างนั้นเขาจะเติบโตขึ้นมาไม่ได้”
“ใช่ค่ะ ต้องสู้ ครั้งแรกที่เจอลูก เอมอุ้มลูกไม่ได้เหมือนแม่คนอื่น ได้แต่ยื่นมือเข้าไปจับในตู้อบ ตอนที่ยื่นมือเข้าไป ก็คิดในใจว่า ยังไงก็เกิดเป็นลูกแม่แล้ว สู้ไปด้วยกันนะ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร นิ้วลูกก็เริ่มขยับ หลังจากนั้นเลยคิดว่า ลูกตัวแค่นี้ยังสู้เลย เราก็ต้องสู้เหมือนกันค่ะ” คุณแม่เอมกล่าวปิดท้าย
Meet the Doctor
ภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง และกลุ่มอาการ HEELP Syndrome คืออะไรนั้น นายแพทย์อานนท์ เรืองอุตมานันท์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และเป็นแพทย์เจ้าของเคสคุณแม่เอม ขออธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้นกันค่ะ
รู้จักกับครรภ์เป็นพิษ และกลุ่มอาการ HEELP Syndrome
ครรภ์เป็นพิษถือเป็นโรคแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงสูงสุดของคนท้อง อาการของครรภ์เป็นพิษคือ ท้องแล้วความดันโลหิตจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ เริ่มพัง โดยแบ่งครรภ์เป็นพิษออกเป็น ครรภ์เป็นพิษธรรมดา และครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง
สำหรับครรภ์เป็นพิษธรรมดา มักจะมีความดันสูงและปวดหัวอย่างเดียว ความดันอยู่ที่ประมาณ 140/90 ตรวจเจอไข่ขาวในปัสสาวะ ขาบวมมาก และมักพบตอนอายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์หรือท้องใกล้แก่เท่านั้น ในขณะที่ครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง นอกจากความดันสูงมาก ตรวจเจอไข่ขาวแล้ว ยังพบว่ามีเกล็ดเลือดต่ำ อวัยวะพัง เช่น ตับบวม และมักเกิดได้ตลอดทุกช่วงอายุการตั้งครรภ์
ส่วนกลุ่มอาการ HEELP Syndrome หมอขอเรียกว่า ครรภ์เป็นพิษขั้นเทพ เป็นระดับตัวท็อปของครรภ์เป็นพิษ และมักเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยส่วนตัวหมอเพิ่งเจอเคสนี้เป็นรายที่ 3 เท่านั้น สำหรับ HEELP Syndrome จะมีอาการหลักๆ คือ มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง ตรวจพบเอ็นไซม์ของตับเนื่องจากตับถูกทำลาย และเกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังมีอาการหัวใจโต ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนเกิดจากความดันโลหิตที่สูงมากๆ อย่างเช่นในกรณีของคุณแม่เอมที่มีความดันสูงถึง 220 ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้ให้หายคือการยุติการตั้งครรภ์เท่านั้น
HEELP Syndrome นั้นสามารถเกิดกับใครก็ได้ แม้แต่คุณแม่ที่สุขภาพแข็งแรงดี มักเกิดกับท้องแรก และสามารถเกิดซ้ำได้ในท้องที่สอง ร้อยละ 15-30 เป็นภาวะที่นอกเหนือความคาดหมายทุกอย่าง ซึ่งยังไม่มีใครสามารถหาสาเหตุได้
เคสคุณแม่เอม และการรักษา
ตอนนั้นคุณแม่เอมมาโรงพยาบาลด้วยความดัน 220 ซึ่งสูงมาก จัดว่าวิกฤติทีเดียว อีกทั้งมีอาการเจ็บบริเวณลิ้นปี่ หากเป็นครรภ์เป็นพิษธรรมดาจะไม่มีอาการเจ็บแบบนี้ เมื่อตรวจก็พบว่าเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก พบเอ็นไซม์ของตับ ซึ่งตรงกับอาการของ HEELP Syndrome และหัวใจพองโต ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจ ยากันชัก ยาลดความดัน
จากนั้นหมอจึงอัลตร้าซาวด์ดูเด็กในครรภ์ พบว่าน้ำหนักน้อย แต่อย่างไรก็ต้องคลอด เพื่อรักษาชีวิตของทั้งคู่ จึงฉีดยากระตุ้นปอดเด็กโดยฉีดผ่านเส้นเลือดของแม่
อีกปัญหาหนึ่งที่พบก่อนผ่าคลอดคือเกล็ดเลือดต่ำ ปกติเกล็ดเลือดของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสน แต่ของคุณแม่เอมเหลือแค่ 8 หมื่นเท่านั้น (เกล็ดเลือดต่ำจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด เพราะไม่แข็งตัว) ยิ่งยื้อไว้เกล็ดเลือดยิ่งต่ำลง โดยเวลาต่อมาเกล็ดเลือดคุณแม่เอมลงไปที่ 6 หมื่น ทำให้ต้องรีบผ่าทันที โชคดีที่การผ่าตัดราบรื่นดีมาก สุดท้ายสามารถผ่าตัดคลอดได้สำเร็จ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ส่วนการดูแลคนไข้หลังคลอดก็คือการให้ยารักษาหัวใจและความดัน ส่วนตับนั้นค่อยๆดีขึ้นเอง ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ก็ค่อยๆหายดี
การดูแลตัวเองสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ควรมาหาหมอทันทีที่รู้ว่าตัวเองท้อง เพราะหมอจะเช็กได้ว่าคุณมีการตั้งครรภ์หรือไม่และครรภ์ปกติหรือไม่ โดยหมอจะตรวจเช็ค 3 ประการคือ มีการตั้งครรภ์จริง ตั้งครรภ์ในมดลูกจริง และหัวใจลูกเต้นจริง บางคนมักไปหาหมอตอนที่ท้องใหญ่แล้วโดยที่ไม่รู้ว่าครรภ์มีความผิดปกติ เช่น ท้องนอกมดลูก เด็กไม่มีตัว เป็นต้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ถึงร้อยละ 13 เลยทีเดียว นอกจากนี้ควรไปตามนัดทุกครั้ง สงสัยอะไร หรือมีความผิดปกติอะไรแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าปล่อยไว้ เพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/