สสส.เสนอลดขนาดซองน้ำตาล จาก 8 กรัมเหลือ 3-4 กรัม ช่วยกินหวานลดลง

สสส.เสนอลดขนาดซองน้ำตาล จาก 8 กรัมเหลือ 3-4 กรัม ช่วยกินหวานลดลง

สสส.เสนอลดขนาดซองน้ำตาล จาก 8 กรัมเหลือ 3-4 กรัม ช่วยกินหวานลดลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สสส.เสนอลดขนาดซองน้ำตาล จาก8กรัมเหลือ3-4กรัม ช่วยกินหวานลดลง

 

ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ(ด้านทันตสาธารณสุข) และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวถึงกรณีที่ สสส.เสนอแนวคิดลดขนาดซองน้ำตาลมาตรฐานลงจาก 8 กรัมให้เหลือ 3-4 กรัมนั้น มาจากการทำวิจัยถึงพฤติกรรมของประชาชนในการรับประทานน้ำตาล โดยน้ำตาลที่ได้รับในแต่ละวันนั้นมาจากหลายแหล่ง แต่ในวัยทำงานส่วนใหญ่จะได้รับการอาหารว่างเวลาประชุม ซึ่งพบว่าแต่ละมื้อสูงถึง 300 กิโลแคลอรี่ ซึ่งที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 100 กิโลแคลอรี่ เมื่อทำงานวิจัยก็พบว่า น้ำตาลที่ใช้มักจะใช้เพียงครั้งละ 1 ซองและใช้จนหมดในแต่ละครั้ง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนขนาดซองน้ำตาลก็พบว่ายังใช้ 1 ซองเท่าเดิม

ทพญ.จันทนา กล่าวว่า มีการทำวิจัย 2 ครั้งในปี 2552 และ ปี 2556 ซึ่งพบว่ามีการเปลี่ยนขนาดซองจาก 8 กรัม เป็น 6 กรัม แต่พฤติกรรมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือใช้เพียง 1 ซอง ในการเปลี่ยนขนาดซองน้ำตาลเป็น 3-4 กรัม เพื่อเป็นการช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในมื้ออาหารว่างลง ซึ่งถือเป็นผลดีกับผู้บริโภค ซึ่งผู้ประกอบการได้เคยหารือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และยินดีที่จะปรับเปลี่ยนซองมาตรฐานลงเพื่อให้เป็นทางเลือก และจะมีการทำงานกับส่วนราชการเพื่อเป็นองค์กรตัวอย่างที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ซองน้ำตาลลงให้เป็นขนาด 3-4 กรัมด้วย นอกจากนี้ ยังจะมีโครงการรณรงค์ในการใช้ผลไม้เพิ่มเข้าไปในมื้ออาหารว่างให้มากขึ้น และลดขนาดของชิ้นขนมลงเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีมากขึ้น

ทพญ.จันทนา กล่าวว่า สำหรับในกลุ่มวัยเด็ก โครงการรณรงค์เด็กไทยไม่กินหวาน ได้ทำในโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่องโดยสามารถเพิ่มจำนวนโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้ถึงร้อยละ 83 ในปีก่อน ซึ่งพบว่านอกจากน้ำอัดลม ยังต้องเร่งให้ความรู้ถึงเครื่องดื่มกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำชาขวด

นอกจากนี้ นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย ยังทดลองให้ติดป้ายเตือนการใส่น้ำตาลในร้านขายเครื่องดื่มชา กาแฟ ซึ่งพบว่าทำให้ผู้บริโภคตระหนักมากขึ้นและเปลี่ยนพฤติกรรมให้ใส่น้ำตาลน้อยลง

 

ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook