แอ้ม นรี บุณยเกียรติ จากครูสอนเต้น พลิกผันเข้าวงการอาหาร
จากความหลงใหลในการเต้นรำตั้งแต่วัยเยาว์ จนมาเป็นอาจารย์สอนเต้น แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นจุดพลิกผันทำให้คุณแอ้ม นรี บุณยเกียรติ ก้าวเข้ามาสู่วงการร้านอาหาร เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการร้าน The Never Ending Summer มาติดตามเรื่องราวของสาวเก่งอย่างเธอกันค่ะ
Q: อยากให้เล่าถึงความเป็นมา ว่ามาเป็น ผู้จัดการร้าน The Never Ending Summer ได้อย่างไรคะ
A: เริ่มตั้งแต่สมัยเรียน จะเรียนไปทำงานไป และเรามักจะนำเงินที่ได้จากการทำงานไปกินนี่แหละ แล้วส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารที่ไม่ได้ดัง หรือที่ที่เพื่อนไม่ค่อยไปทาน เป็นนักแสวงหาว่างั้นเถอะ พอเรียนจบก็ไปเป็นแอร์โอสเตสอยู่ 1 ปี ก่อนตัดสินใจออกมาเรียนต่อ และด้วยความที่เราเรียนนาฏศิลป์มาตลอด พวกบัลเล่ต์ แดนซ์ ออกแบบท่าเต้น เลยไปปรึกษาพี่ๆ เขาว่าอยากเรียน Food Designer แต่พี่ๆ ที่เป็นเชฟบอกว่าFood Designer มันมีอะไรมากกว่าแต่ไป take course เลยสรุปว่าบินไปเรียนทำอาหารฝรั่งเศสที่สถาบัน เลอ กอร์ดอง เบลอ ที่ซิดนีย์ ระหว่างนั้นก็ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทย ซึ่งเดิมทีเราก็ไม่ได้คลั่งไคล้อาหารไทยขนาดนั้นนะ เหมือนเด็กที่ทานอาหารไทยเป็นปกติ แต่พอไปที่โน่นเห็นว่าอาหารไทยได้อยู่ในร้านดีๆ ดูมีราคา เลยคิดว่าเราก็น่าจะทำได้ดี เพราะเราคุ้นเคยกับอาหารไทย เลยคุยกับคุณแม่(คุณศศิวิมล บุญยเกียรติ) มากขึ้น เพราะคุณแม่เป็นคนชอบทำอาหารไทยอยู่แล้ว
จากนั้นเรามีโอกาสได้ไปเรียนทำอาหารไทยกับอาจารย์ศรีสมร คงพันธ์ และอาจารย์วันดี ณ สงขลา เพราะอยากเรียนพวกแกะสลัก เรียนทำขนมไทย เพราะว่าที่โน่นไม่มี ตอนแรกก็คิดว่าจะกลับไปที่ซิดนีย์ ทำร้านอาหารไทยที่โน่น แต่สุดท้ายก็กลับมาไทย พอดีกับที่เจ้าของร้านที่ซิดนีย์ (WARINDA GOH) เขามาเปิดร้านให้ลูกชายที่ไทย เราก็เลยได้เข้ามาช่วยจัดการ บริหารร้าน ทำให้เข้าใจระบบจัดการร้านอาหารไทย ว่าต้องทำยังไงบ้าง แล้วสุดท้ายก็ได้มาเป็นผู้จัดการร้านนี้ค่ะ
Q: แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน The Never Ending Summer นี้มีที่มาอย่างไรคะ
A: เริ่มแรกพี่ด้วง(คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค) มาหาที่จะทำเป็นร้านอาหาร แล้วมาเจอที่ตรงนี้ ดูแล้วสเปซมันใช่ ที่ตรงนี้เหมาะสำหรับเปิดร้านอาหารก็เลยมาเปิดที่นี่ แล้วพอดีเรารู้จักกับพี่ด้วง ชอบทานอาหารคล้ายๆ กัน มีความคิดบางอย่างคล้ายๆ กัน ก็เลยได้มาทำร้านนี้ด้วยกัน ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะทำแค่เป็นโรงอาหารเล็กๆ ไว้สำหรับพนักงาน หรือทำให้พี่ด้วงทาน แต่ทำไปทำมากลายเป็นร้านอาหารเฉยเลย
Q: วันเปิดร้านวันแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ
A: เราเปิดร้านวันแรกวันที่ 21 ธันวาคม โดยที่เราก็ไม่ได้ดูฤกษ์ดูอะไรเลยนะ แค่มีความพิเศษที่ว่าเพื่อนพี่ด้วงจะมาทานข้าวกัน เราก็เลยเปิดร้านวันนั้นเป็นวันแรกเลย บอกเลยว่าไม่มีความพร้อมอะไรเลย ไม่มีการ Grand Opening อาศัยแค่ว่านัดเพื่อนมาทานข้าวแค่นั้น
หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาถามเรื่อยๆ ว่าร้านเปิดยัง ส่วนมากจะเป็นคนที่อยู่คอนโดแถวนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นเปิดร้านไปโดยปริยาย ซึ่งลูกค้าแรกๆ จะเป็นคนไทย ก็จะมีคอมเม้นท์เรื่องรสชาติอาหารบ้าง เราก็มีการปรับเปลี่ยนรสบ้างบางอย่าง เพิ่งมีหลังๆ ที่จะเป็นชาวต่างชาติมาเยอะขึ้น เราก็มาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ถูกปากต่างชาติด้วย แต่ชาวต่างชาติที่มาจริงๆ แล้วเค้าอยากมาชิมอาหารไทยที่เป็นอาหารไทยจริงๆ มากกว่าอาหารไทยที่ทำมาเพื่อให้ถูกปากเค้า ก็จะมีการปรับแค่เล็กๆ น้อยๆ ค่ะ
Q: คุณแอ้มทำอยู่ร้านนี้มากี่ปีแล้วคะ
A: เราทำอยู่ที่นี่ได้ประมาณปีครึ่งแล้ว ตอนแรกๆ ที่มาทำเราก็ว่าเรารู้เรื่องอาหารไทยประมาณหนึ่ง นอกจาก สูตรอาหารไทยของคุณด้วงแล้ว ยังได้รับความเมตตาจาก พี่นพ (รสดีเด็ด) ซึ่งได้มาทาน และแนะนำคุณยายอาภรณ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งท่านทำอาหารในวัง คุณยายคงเห็นว่าเราเป็นเด็กรุ่นใหม่ แต่สนใจเรื่องอาหารไทย ท่านก็เลยกรุณาให้เราเข้าไปดู เราก็พยายามทำมากขึ้น
ร้านเราตอนแรกก็ทำเป็นร้านอาหารไทย แต่ตอนนี้จะมีเด็กที่มาจากที่ต่างๆ ซึ่งไม่เคยทำอาหารไทยเลย มาอยู่ในครัวกลายเป็นลูกผสม อย่างบางคนก็เคยอยู่ในร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลิน ที่ฝรั่งเศสมาก่อน หรือบางคนก็จบวิศวะ ที่บ้านไม่ชอบให้เรียนทำอาหาร แต่น้องเค้าจะมีความพยายามมาก มุ่งมั่นมาก ไม่เคยยอมแพ้อะไรเลย แล้วก็จะมีเชฟฝรั่ง ซึ่งเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งรายการแข่งขันมาสเตอร์เชฟของโครเอเชีย และเชฟรุ่น ป้าๆ คอยดูแลสูตรอาหารโบราณ นอกจากนี้ยังมีบาร์เทนเดอร์ ซึ่งชนะผลโหวตจากทั่วโลก จากการประกวด Jamie Oliver's Search for a Cocktail Star ได้รางวัล และกลับมาประจำอยู่ที่ร้าน
Q: แล้วเรามีส่วนช่วยแนะนำอะไรน้องบ้างคะ
A: เราจะช่วยเรื่องให้ความมั่นใจ เป็นที่ปรึกษา คอยsupport น้องมากกว่า เราว่าเด็กเก่งเหมือนกันหมด แค่เค้าไม่มั่นใจ เราก็คอยให้คำแนะนำเค้ามากกว่า อย่างเราเองเวลาเราไม่มั่นใจเรายังโชคดีที่มีพี่ด้วง คอยให้คำปรึกษา
Q: มีปัญหาอะไรที่ทำให้ท้อบ้างไหม
A: เราเคยมีปัญหาเรื่องหาคนไม่ได้ คนทำงานได้ไม่ดี แต่พอถึงวันที่มีเจอคนดีๆ ทำงานดีๆ มันก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้มีประสบการณ์เยอะ เราก็พยายามหาจุดที่มันลงตัวกับทุกคนมากที่สุด เราอยากให้ทุกคนได้อะไรที่เค้าอยากได้ เราก็พยายามหาบาลานซ์ให้ทุกอย่าง เราโชคดีที่เรามีทีมงานที่ดี ทำให้ทุกอย่างลงตัวไปได้ด้วยดี (ยิ้ม)
Q: อะไรคือความสนุกของงานที่ทำ
A: เวลาเหมือนทุกอย่างจะลงตัว เราก็จะมีปัญหาใหม่ๆ มาให้แก้ไขตลอด อย่างเช่น ทุกอย่างกำลังไปได้สวยๆ เนื้อวัวเจ้าที่เราสั่งประจำส่งของมาไม่เหมือนเดิม เราก็ต้องไปควานหาเนื้อเจ้าใหม่ที่มีคุณภาพตามที่เราต้องการ หรืออย่างลูกน้องบางคน ทำงานกำลังเข้าขากันอยู่ดีๆ ก็เกิดลาออก เราก็ต้องไปหาคนมาใหม่ ซึ่งกว่าจะได้คนที่ทำงานเข้าขากันได้มันก็ต้องใช้เวลา อันนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกสนุก เพราะเหมือนได้ challenge ตลอดเวลา
Q: แล้วอะไรคือความไม่สนุก
A: ไม่สนุกตรงที่เราเป็นคนกลางของทุกๆ เรื่อง เวลาเค้ามีปัญหากัน คือเราก็อยากทำให้ทุกคนมีความสุขที่จะทำงานกับเรา แต่หลังๆ เริ่มปล่อยแล้ว ใครอยากทำอะไรก็แล้วแต่ เริ่มปลง แล้วก็จะมีเรื่องการบริหารจัดการเรื่องระบบต่างๆ ในร้าน เรื่องการเงินที่ต้องดูแลบริหารให้ดี ซึ่งเราว่ามันไม่สนุกเลย
Q: มีอะไรที่อยากจะทำต่อจากนี้ไหมคะ
A: ตอนนี้ที่คิดไว้คือจะขยายร้านออกไป เราคิดคอนเซปท์กันไว้แล้ว ว่าอยากได้ร้านที่ไว้สำหรับนั่งคุยนั่งทานกันสบายๆ แล้วก็จะมีการจัดเสวนากันเดือนละครั้ง โดยอาจจะเชิญผู้มีความรู้ต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน มานั่งทานไปคุยไป ในบรรยากาศสบายๆ ยังไงก็ฝากไว้ด้วย คอยติดตามกันนะคะ
ขอบคุณร้าน The Never Ending Summer เอื้อเฟื้อสถานที่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ The Never Ending Summer ได้ที่ https://www.facebook.com/TheNeverEndingSummer
อัลบั้มภาพ 27 ภาพ