อยุธยา 417 ปีกับมนต์เสน่ห์ที่ไม่เสื่อมคลาย (ตอน 1)

อยุธยา 417 ปีกับมนต์เสน่ห์ที่ไม่เสื่อมคลาย (ตอน 1)

อยุธยา 417 ปีกับมนต์เสน่ห์ที่ไม่เสื่อมคลาย (ตอน 1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เคยดูหนังอิงประวัติศาสตร์ไทยมาหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” “พระศรีสุริโยทัย” หรือแม้แต่ “บางระจัน” ที่ถูกทำมาหลายต่อหลายภาค ก็ชวนให้จินตนาการอยากนั่งไทม์แมชีนย้อนอดีตไปดูความรุ่งเรืองและการต่อสู้เพื่อปกป้องและรักษาบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลานในสมัยนั้น วันนี้เลยได้มีโอกาสไปเยือนสถานที่ที่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆได้เกิดขึ้น จนถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนังดังได้กล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก “อยุธยา”

จากกรุงเทพฯมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือบนถนนพหลโยธินราว 76 กิโลเมตร จุดหมายปลายทางของเราคือ “อยุธยา” ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยถึง 417 ปี (พ.ศ. 1893-2310) ก่อนจะมาเป็นกรุงเทพฯ ณ ปัจจุบัน

มองจากแผนที่แล้ว จังหวัดอยุธยามีลักษณะเป็นเกาะที่ถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเดินทางมาถึงเขตอยุธยา เราจะเห็นแต่ป้ายบอกทางไปวัดเยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองในอดีต และวัดก็คือสิ่งหนึ่งที่แสดงความถึงความรุ่งเรืองทั้งด้านวัตถุและจิตใจ

หลังจากก้าวเท้าออกจากรถตู้ที่ “วัดพนัญเชิง” ท่ามกลางอากาศร้อนและอบอ้าว แต่บริเวณวัดยังคงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหนาตาทั้งไทยและต่างชาติ คงเป็นเพราะความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทย บวกกับความวิจิตรสวยงามของหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ หรือ ซำปอกง ที่ประดิษฐานภายในอุโบสถ จึงทำให้นักท่องเที่ยวอยากเข้ามาเยี่ยมชมและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก หลักฐานบอกว่าวัดนี้สร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาราว ๆ 26 ปีเชียวล่ะ

ตำนานของวัดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพระนางสร้อยดอกหมากกลั้นใจตาย เพราะน้อยใจที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งผู้เป็นสามีไม่ยอมไปรับหลังจากที่พระเจ้ากรุงจีนได้ยกนางให้ หลังจากนั้นพระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงทรงสร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อปลงศพของนางอันเป็นที่รัก

เดินไปรอบๆวัด ก็จะมีหลายจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถไหว้บูชาขอพรได้ ไม่ว่าจะเป็นศาลของพระนางสร้อยดอกหมาก รูปปั้นพระพิฆเนศ ศาลเจ้าแม่กวนอิม นอกจากนั้นบริเวณลานจอดรถยังมีขนม นม เนย เครื่องดื่มคลายร้อน รวมถึงของฝากให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมเพลินๆหลังจากไหว้พระเสร็จ

ชมความงดงามอลังการของหลวงพ่อโตกันแล้ว ล้อรถตู้ก็หมุนเตรียมมุ่งหน้าไปยัง “วัดมหาธาตุ” เรามีเวลาพักหายใจราว 15 นาทีท่ามกลางแอร์เย็นฉ่ำบนรถตู้ ทันทีที่รถตู้จอด เราก็ไม่รอช้า รีบพรุ่งตรงไปชมความสวยงามของโบราณสถานภายในวัดนี้ ซึ่งอดีตถือเป็นศูนย์กลางสำคัญสมัยอยุธยาตอนต้น เพราะใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีของกษัตริย์และพิธีกรรมของราษฎร

การสร้างวัดมหาธาตุได้รับแนวคิดมาจากวัฒนธรรมขอมหรือประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่งนิยมสร้างปราสาทไว้กลางเมือง เปรียบเสมือน “เขาพระสุเมรุ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วในกรุงเทพฯก็ได้รูปแบบการสร้างวัดมาจากวัดมหาธาตุเองเช่นเดียวกัน

เดินไปรอบวัดจะเห็นเจดีย์ทรงต่างๆค่อนข้างเยอะ แต่ที่แปลกและมีแค่ที่วัดมหาธาตุเท่านั้นคือ เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม สิ่งที่เรียกบรรดานั่งท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอีกอย่างคือ “เศียรพระพุทธรูป” คาดว่าเศียรพระพุทธรูปนี้จะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้ในสมัยเสียกรุง จนรากไม้ขึ้นปกคลุมทำให้มีความงดงามแปลกตา และเลื่องลือกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ได้รับความสนใจจากบรรดานั่งท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

หลังจากใช้พลังงานค่อนข้างเยอะในการตระเวนเที่ยว ท้องก็เริ่มร้องต้องการอาหารเพื่อเพิ่มพลังให้มีแรงเดินเสพกลิ่นอายประวัติศาสตร์ในอยุธยาต่อยามบ่าย แน่นอนว่าอาหารที่ต้องทานเมื่อมาอยุธยาคือ “ก๋วยเตี๋ยวเรือ” นั่งรถจากวัดมหาธาตุไม่ถึงห้านาทีก็ถึงร้าน "ก๋วยเตี๋ยวเรือป้าเล็ก" ทีแรกก็แปลกใจว่าคนมายืนทำอะไรกันเยอะแยะ ที่ไหนได้มายืนเข้าแถวรอคิวเพื่อรอที่นั่งทานก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง เราจึงรีบบึ่งเข้าไปต่อแถวเพราะความหิวและเกรงว่าจะรอนาน แต่จริงๆแล้วไม่นานเท่าไรก็ได้ที่นั่ง นอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว ยังมีขนมจีนรสเด็ดที่ไม่ควรพลาด ขอบอกไม่ผิดหวังจริงๆ ทานไปเบาๆ 4 ชามเอง

เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน แต่ความกระหายอยากเที่ยวมีมากกว่า จึงสามารถเอาชนะความง่วงได้ ก่อนไปเที่ยวต่อ สาวชิคอย่างเราก็ต้องห่วงสวยเป็นธรรมดา ขอส่องกระจกเติมหน้าเพิ่มความมั่นใจสักนิด พร้อมแล้วเราจึงมุ่งหน้าไปยัง “วิหารมงคลบพิตร” เดินจากประตูทางเข้าไปราว 300-400 เมตรตรงไปเรื่อยๆ ทางเข้าวิหารถูกทำมาอย่างดี ข้างทางมีต้นไม้ประดับเพื่อความสวยงาม สามารถเดินเสพความงามมองเห็นวิหารตั้งตระหง่านในระยะใกลตั้งแต่ทางเข้า หากเดินยามเย็นคงได้อารมณ์สุนทรีไม่น้อย ที่สำคัญช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา เราจึงมีโอกาสได้หล่อเทียนซึ่งมีไว้บริการตรงเต้นด้านหน้าก่อนขึ้นไปสักการะพระมงคลบพิตร

ความเด่นของวิหารแห่งนี้คือ “พระมงคลบพิตร” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในอดีตเคยถูกมณฑปครอบไว้ หลังจากถูกฟ้าผ่าจึงได้มีการปฏิสังขรณ์โดยดัดแปลงมาเป็น “วิหาร” ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวนอกเขตวัด

พอย่างก้าวเข้าไปในวิหาร สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของพระมงคลบพิตร เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่สูงถึง 12 เมตร และเป็นศิลปะผสมระหว่างอู่ทองและสุโขทัย ซึ่งพระพุทธรูปในสมัยนี้จะมีความสุขุม น่าเกรงขามเป็นพื้นฐาน ในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 วิหารพระมงคลบพิตรถูกข้าศึกเผาทำลายจนเสียหาย รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้การปฏิสังขรณ์ใหม่ซึ่งยังคงเค้าความเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยา หลังจากไหว้ขอพรหลวงพ่อมงคลบพิตรเสร็จ จึงเดินไปรอบๆ ตัววิหาร จะเห็นถึงการตกแต่งบริเวณเพดาน เสา และผนังอย่างวิจิตรพตระการตา นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปองค์เล็กเรียงรายอยู่ภายในวิหารอีกเยอะ การทำบุญถวายผ้าไตร หรือเสี่ยงเซียมซี ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำได้เมื่อเข้ามาในวิหารแห่งนี้

การตระเวนไหว้พระของเรายังไม่หมดเพียงเท่านี้ เรายังมีวัดและพิพิธภัณฑ์ที่มีความสวยงามไม่แพ้วัดที่ไปมาข้างต้น อย่าลืมติดตามและอิ่มบุญไปกับเราในตอนต่อไป

ติดตามทุกเทรนด์ก่อนใครและอัพเดทข่าวชิคๆ
ได้ที่ www.chicministry.com, Facebook Fanpage : facebook.com/chicministry
Twitter : twitter.com/ChicMinistry, IG : instagram.com/chicministryofficial, Line ID : chicministryofficial

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook