โยเกิร์ต-รวิวรรณ บุญประชม "เธอคนนี้มีหลายรส"
สูงโปร่ง เค้าโครงหน้าแบบสาวหมวย สวยลงตัว แบบที่คนไม่ชอบสาวหมวยก็ยังต้องมอง ผิวขาวละเอียด ดูเปรี้ยว ดูเท่ ดูหวาน ดูแมน ดูมีความเป็นไปได้มากมาย ดูมีส่วนผสมหลายอย่างอยู่ในคนคนเดียว เราไม่ได้อยากนิยามให้คุณฟังหรอกว่าเธอเป็นยังไงแน่ แต่ถ้าจะให้พยายามจริงๆ ละก็ เอาเป็นว่าเธอมีหลายรส...เหมือนโยเกิร์ตนั่นแหละ
วันนี้โยเกิร์ตสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง เดินออกมาจากสตูดิโอหลังจากช่างภาพวสันต์ ผึ่งประเสริฐ กดชัตเตอร์เก็บภาพเธอจนพอใจ ใบหน้าเรียวคงไว้เพียงเครื่องสำอางบางๆ รวบผมดำขลับตึง ผูกเป็นหางม้าไกวอยู่ที่แผ่นหลัง ตาเล็กเรียวหยีลงเล็กน้อยเมื่อเธอส่งยิ้มน่ารักสดใสมาให้เราที่นั่งรอเธออยู่ลำพัง เธอทิ้งตัวบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วร้องขอกาแฟเย็น
โยเกิร์ต เรียกตัวเองสั้นๆ ว่า ‘โย’ อย่างที่เธอใช้เรียกแทนตัวเอง ที่มาของชื่อมาจากเพื่อนคนหนึ่งเคยเรียก และเธอเอาไปใช้เป็น Username ในการเล่น ‘Multiply’ เครือข่ายโซเชียลที่เคยท็อปฮิตเมื่อหลายปีก่อนโน้น และเป็นศูนย์รวมของช่างภาพที่มักเอารูปเข้าไปแชร์กัน
ในบอร์ดที่เป็นเหมือนชุมนุมภาพถ่าย เธอได้รู้จักกับช่างภาพหลายคนจากที่นั่น และเป็นเพื่อนกันต่อเนื่องมาในยุคเฟซบุ๊กเฟื่องฟู แล้วสังคมในเฟซบุ๊กก็ส่งให้เธอได้รู้จักกับณัฐ ประกอบสันติสุข ช่างภาพที่นำเธอเข้าสู่วงการนางแบบ กับการถ่ายแบบพรีวิว Elle Fashion Week เมื่อปี 2011 ภาพวันเก่าๆ หวนเข้ามาในความคิดของเธออีกครั้ง เมื่อเราคุยกันถึงวันแห่งการเริ่มต้นที่ทำให้หลายๆ คนรู้จักกับโยเกิร์ต
“แล้วก็ได้เดินแบบครั้งแรกในแอลแฟชั่นวีคด้วย โยข้อเท้าพลิกบนเวที ตกหลุมอากาศ จำได้จนทุกวันนี้เลย” เธอเดินให้กับโชว์ของ Theatre ซึ่งมาพร้อมรองเท้าส้นสูงมากในซีซั่นนั้น ความ ‘Glam’ ของมันคือกลิตเตอร์วิบวับที่ติดอยู่รอบตัวรองเท้า สร้างความลำบากและปัญหาให้กับอดีตนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ และวิศวกรการตลาดบริษัทเอกชน ผู้คุ้นเคยกับรองเท้าไร้ส้นมาตลอด ความไม่มั่นใจจากข้อผิดพลาดในครั้งแรกนั้น ทำให้เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ตื่นนอน เธอหมกมุ่นอยู่กับการซ้อมเดินกับส้นสูงจนเป็นที่ขบขันของเพื่อน “แต่มันก็ทำให้โยทำได้ดีกับโชว์ถัดมา ทำให้มีกำลังใจที่จะทำงานนี้มากขึ้นค่ะ”
เมื่องานนางแบบเริ่มกัดกินเวลาของพนักงานประจำ เธอจึงต้องเลือกเอาสักทาง โยเกิร์ตทิ้งชีวิตมนุษย์งานกินเงินเดือนไว้ข้างหลัง แล้วสร้างชื่อเรื่อยมาในสถานะใหม่ ทั้งบนปกนิตยสารและรันเวย์
“โยอยากลองดูสักตั้ง เอาให้เต็มที่สุดๆ ถ้าไม่เวิร์กจริงๆ ก็ยังกลับมาทำอะไรตามความรู้ที่เรียนมาได้”
สามปีในวงการยังนับว่าอ่อนเยาว์นักหากเทียบกับเหล่าตัวแม่ในวงการ ถ้าหากว่าความโชคดีเป็นเรื่องเดียวกับคำว่าโอกาส ก็นับได้ว่าเธอโชคดีที่มีใครบางคนเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใน ‘ไม้แขวนเสื้อ’ ชิ้นนี้ซึ่งมีมากกว่าแค่หน้าที่ไม้แขวนเสื้อ เธอถูกจับเข้าเรียน Acting Class และได้รับโอกาสแสดงละครพีเรียดเรื่องที่รีเมคแล้วรีเมคอีกแต่ก็ดังทุกครั้งอย่าง ‘นางทาส’ โยเกิร์ตสวมบทบาท ‘คุณสาลี่’ ที่เรียกได้ว่า ใครเล่นก็เกิด แต่กว่าจะถึงตรงนั้น ทุกคนที่เล่นบทนี้ต้องฝ่าด่านคำวิจารณ์กันอย่างหนัก และเธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น
“สนุก แต่ยาก” เธอโอดเบาๆ ถึงการแสดงที่ต้องเก็บรายละเอียดทุกเม็ด และต้องใช้จินตนาการสูงกว่าที่เคยคิดเคยเข้าใจ เธอเรียนการแสดงกับครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) โค้ชที่สร้างนักแสดงประดับวงการมานับไม่ถ้วน โยเกิร์ตบอกว่าครูเงาะสอนละเอียดยิบ สอนกระทั่งการวิเคราะห์ตัวละครอันสืบมาจากบทสนทนา ว่าหากตัวละครพูดแบบนี้ ตัวละครตัวนี้มีนิสัยยังไง
“เป็นนางแบบเราก็ต้องใช้จินตนาการเหมือนกันนะคะ คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ก็แค่ทำท่าแบบนี้ หน้านิ่งๆ ก็จบ” เธอวางสีหน้าประกอบ “แต่ถ้าสมมติคุณหน้านิ่งแล้วคุณไม่ได้คิดอะไรเลย ตาคุณจะลอย เมื่อก่อนโยก็ไม่เข้าใจนะ ตอนไปเดินแบบแรกๆ ป้าตือ (สมบัษร ถิระสาโรช) บรีฟ นี่ยูมองไปข้างหน้านะ ที่จุดแดงๆ ตรงนั้นมีนักข่าวอยู่นะ แล้วคิดว่าฉันสวย ฉันสวย ถ่ายรูปฉันสิ เราก็ไม่เก๊ตนะ ทำไมล่ะ ก็แค่เดินไปทำหน้านิ่งๆ แล้ววกกลับมาก็จบ ทำไมจะต้องคิดอะไรอย่างนั้น จนได้มาเรียนการแสดงกับครูเงาะนี่แหละ ถึงเก๊ตว่า เออจริง เราไม่สามารถเดินไปด้วยความคิดที่ว่างเปล่าได้ ถ้าเราคิดว่าฉันสวย ฉันสวย ถ่ายรูปฉันสิ แล้วตามันจะเป็นประกาย” ทันทีที่จบประโยค เราเห็นประกายในตาของเธอสว่างวาบ ดวงตาคือหน้าตาจริงๆ
“หนูว่าหนูเฟรนด์ลี่นะ” บางครั้งเธอก็เรียกแทนตัวเองว่า ‘หนู’ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่เพลิดเพลินไปในตอนนั้น “ถ้าใครเฟรนด์ลี่กับเรา เราก็เฟรนด์ลี่ด้วยอยู่แล้ว แต่มีสองลุค ลุคหนึ่งดูร้าย ดูไม่น่าเข้าใกล้ กับอีกลุคดูหวาน แต่ที่จริงจะติดแมนๆ มากกว่า นิสัยเหมือนผู้ชาย”
โยเกิร์ตโตมาในครอบครัวที่ให้อิสระทางความคิดมาตั้งแต่เด็ก เท่าที่จำได้ เธอว่ามีอยู่ครั้งเดียวที่รู้สึกว่าต้องทำตามความต้องการของแม่ คือการเรียนมัธยมในโรงเรียนสตรีล้วนที่มีกฎบังคับให้เด็กผู้หญิงต้องตัดผมสั้นแค่ติ่งหู แสกข้าง แล้วติดกิ๊บดำเก็บผม “สั้นแค่ติ่งหู แล้วติดกิ๊บดำอีก นึกออกมั้ย” เธอทำหน้าเหม็นเบื่อสุดๆ “ไม่อยากทำเลย แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ก็นั่นแหละอย่างเดียวที่คุณแม่บังคับ พอโตมา จะเลือกเรียน จะทำอะไร แม่ไม่เคยบังคับอีกเลย”
น้ำแข็งในแก้วกาแฟของเธอละลายจนสีเข้มลงไปนอนอยู่ตรงก้น รสชาติคงคลายความอร่อยลงไปมาก ส่วนอุณหภูมินอกห้องแอร์ก็ทำให้เหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มซึมออกมาตรงไรผม แต่ดูเหมือนเธอไม่เดือดร้อน โยเกิร์ตยังคงคุยต่อด้วยท่าทีสบายๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเรากำลังคุยเรื่องความรัก
“มันมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้รู้สึกว่าเราอยากลองกับคนคนนี้ดูสักตั้ง ลองให้โอกาสดู พี่พีเคเป็นคนที่ดูแลเทคแคร์แฟนดีเสมอมา ไม่มีช่วงโปรโมชั่น เขาดูแลเรายังไงทุกวันนี้เขาก็ยังดูแลเราดีอย่างนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเขามองเห็นสิ่งที่มีค่าสำหรับโย ซึ่งมันไม่ได้มีค่าหรือมีความหมายอะไรกับเขาเลย แต่เมื่อมันมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเรา เขาก็จะรู้สึกกับเราไปด้วยว่าสิ่งนี้สำคัญ เพราะมันมีค่ากับเรา มันเลยมีค่ากับเขา”
กับผู้ชายคนนี้ นอกจากเป็นคนรักแล้ว เขาคือบัดดี้ ที่ไม่ว่าเมื่อไรเวลาไปไหน หากไม่เห็นเขาอยู่ด้วยคนก็ถามถึง เมื่อไรที่เขาเสร็จจากงาน เขาก็จะมาหา เช่นเดียวกับวันนี้ที่เขากำลังรอเธอทำงานให้เสร็จเพื่อไปกินข้าวเย็นด้วยกัน
“จริงๆ โยไม่ติดหวานนะ ไม่ค่อยเทคแคร์ แต่ก็พยายามทำเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ฝืน สมมติถ้าเขาชอบให้จ๊ะจ๋า คะขา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเราก็จะไม่ทำ แต่เราจะแสดงออกด้วยการถามไถ่ วันนี้พี่เป็นยังไง เหนื่อยไหม แต่พูดด้วยน้ำเสียงปกตินะ ไม่มีจ๊ะจ๋าคะขา” ทุกอย่างที่ทำเธอเน้นความรู้สึกจากข้างในของตัวเอง ทำเมื่อรู้สึก และทำด้วยความจริงใจ “แรกๆ ตอนที่คบกัน เขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเราไม่คะขาใส่เขา แต่หลังๆ เขาก็เก๊ตแล้ว”
เธอมองว่าความรักไม่ได้มีปัจจัยอะไรมาก เป็นเรื่องของคนสองคนที่เวลาอยู่ด้วยกันแล้วเกิดคลิกกัน รู้สึกสบาย และคุยกันได้ทุกเรื่อง เป็นเคมีของคนสองคนที่ตรงกัน ซึ่งใช่ว่าจะเกิดกันได้ง่ายๆ หรือเกิดกับใครก็ได้ เมื่อจับคู่ได้ถูกคนเมื่อไร หัวใจถึงจะเริ่มทำงาน จากนั้นก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปเอง อย่าพยายามมากไป อย่าฝืนเกินไป
“ความรักมันต้องทำให้เราเป็นตัวเองได้เต็มที่ อย่างพี่พีเคเขาไม่ได้เป็นแค่แฟน เขาเป็นพี่เรา เป็นผู้ปกครองที่เราสามารถพูดคุยขอคำปรึกษาจากเขาได้ เป็นเพื่อนคุยก็ได้ มันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้คนเราคบกันได้นาน ถ้าเป็นแฟนกันอย่างเดียวโยว่ามันไม่ค่อยรอด มันต้องมีพื้นฐานของความเป็นเพื่อนหรือเป็นพี่เป็นน้องมาด้วย มันจะไปรอดมากกว่า”
การมีครอบครัวอาจไม่ใช่ความฝันของผู้หญิงทุกคนเสมอไปอีกแล้ว แต่สำหรับโยเกิร์ต ภาพนี้ยังเป็นภาพที่เธอมองเห็นตัวเองในอนาคต มีครอบครัว ครอบครัวที่มีพ่อ แม่ และลูก “ทุกวันนี้มีแต่หมา” เธอหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา ถ้าหนุ่มคนไหนได้อยู่ตรงนี้ ฟันธงได้ว่าต้องอิจฉาพีเคพันเปอร์เซ็นต์ เธอเล่าถึงเฟรนช์บูลด็อกหน้ายับสองตัวที่บ้าน ซึ่งคนรักเป็นคนเอามาให้เธอดูแล สุนัขพันธุ์ที่เธอบอกว่าไม่ได้ชอบเพราะทั้งหน้าย่นทั้งตัวดำ
“แต่ตอนเขาให้มาก็บอกว่าชอบนะ” เธอหัวเราะอีกเมื่อนึกถึงตัวเองตอนนั้น “แต่จริงๆ คือแบบ อืม จะดีเหรอ” ข้อนี้พีเควางกับดักถูกเผง เพราะที่บอกว่าไม่ชอบๆ หลังจากนั้นเธอก็สารภาพ “มันเป็นหมาที่น่ารักมาก ขี้อ้อนมาก รักเลย เป็นหมาที่น่ารักที่สุดในโลกเลย” และแล้วเธอก็หลงหมาตัวเองหัวปักหัวปำเช่นเดียวกับคนรักหมาทั่วโลก
โทรศัพท์ของโยเกิร์ตดังขึ้นระหว่างที่เรายังนั่งคุยกันเรื่องนี้ ปลายสายเป็นใครคงเดาไม่ยาก การมาเยือน GQ ของเธอทำให้ผู้ชายใจเต้นแรง แต่ก็ดับฝันไปพร้อมๆ กัน แต่จะโทษใครได้ – พวกคุณไม่ได้ช้าหรอก เป็นหมอนั่นเองมากกว่าที่มาเร็วและแรง และยังคงแรงดีไม่มีตก สาวหมวยขอตัวแล้วรับสายด้วยดวงตาที่มีประกายแบบไม่ต้องพยายาม
ขอบคุณเนื้อหาจาก นิตยสาร GQ : August 15