“ฟ้า วิญธัชชา” นางฟ้ารถเข็นหัวใจเพชร กับชีวิตที่คิดบวก
ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ จากคนปกติมีขาสองข้างเพื่อก้าวเดิน แต่ “ฟ้า วิญธัชชา ถุนนอก” หรือในฉายา “นางฟ้ารถเข็น” กลับเหลือเท้าน้อยๆ เพียงข้างเดียวติดกับร่างกายช่วงล่างสั้นๆ ตั้งแต่ช่วงเอวลงไป หากมองโดยรวมสำหรับคนทั่วไปเธอคือ “คนพิการ” แต่เมื่อ Sanook! Women มีโอกาสพูดคุยกับเธอจึงได้ทราบว่า แม้ร่างกายจะพิการ แต่เธอกลับมีสองสิ่งเหนือกว่าคนทั่วไปคือความคิดเชิงบวก และ จิตใจที่เข้มแข็ง ความพิการแต่กำเนิดไม่ได้ทำให้เธอสิ้นหวัง แต่ปัจจุบันเธอกลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะนักเรียนนอกที่มีเป้าหมายชัดเจน เพราะสาเหตุใดจึงทำให้สาวน้อยวัย 25 ปีคนนี้ยิ้มและมีความสุขได้กับชีวิตที่คนอื่นอาจมองว่าไม่สมบูรณ์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่เธอต้องการ
คุณแม่…ผู้ให้กำเนิดความคิด “บวก”
ฟ้าเป็นน้องสาวคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คน แม้เธอจะเกิดมาพิการโดยกำเนิด และมีปัญหามากมายในการใช้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะคุณแม่ที่มักปลูกฝังความคิดเชิงบวกให้เสมอ จึงหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นเด็กสาวที่ไม่เคยรู้สึกน้อยใจ และเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
“คุณแม่จะสอนให้เราอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าเอง และหัดช่วยเหลือตัวเอง ตอนเด็กปรับตัวยากเหมือนกันเวลาต้องไปเรียนร่วมกับโรงเรียนที่มีเราเป็นคนพิการคนเดียว เจอคนล้อบ้าง ปรับตัวยากพอสมควร อย่างพอกลับมาถึงบ้านแม้เสื้อฟ้าจะเปื้อนเพราะโดนเพื่อนเอาสีป้าย หรือผมเปียที่แม่ถักให้สวยๆ ก็โดนดึง จนรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน แต่คุณแม่จะบอกว่าไม่เป็นไร เขาคงอยากเล่นกับเราแต่เขาเล่นไม่เป็น เขายังเด็ก แม่จะสอนสิ่งบวกๆ ให้ตั้งแต่เด็ก อย่าไปรังเกียจเขา ทำให้ฟ้าปรับทัศนคติเรื่อยมา จากที่เขาล้อก็คิดว่าเขาชม จากที่เขาแกล้งก็คิดว่าเขาอยากเล่นด้วย”
ฟ้าจึงกลายเป็นเด็กที่แม้จะมีร่างกายไม่สมบูรณ์พร้อม แต่เธอก็ไม่เคยคิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
ชีวิตไม่หยุดยั้ง…เพราะความฝังใจ
ที่ผ่านมาคุณแม่ของน้องฟ้ามักถูกโกงและโดนหลอกเงินไปเป็นจำนวนมากเพื่อให้น้องฟ้าเข้าเรียนและมีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป จากความผิดพลาดในอดีตทำให้น้องฟ้าพยายามผลักดันตัวเองเพื่อที่จะได้เรียนในสาขาวิชาที่เธอคิดว่าจะต้องกลับมาช่วยเหลือสังคม และเป็นกระบอกเสียงเพื่อคนพิการเช่นเดียวกับเธอ
“ตอนเด็กๆ จากเหนือลงใต้ไม่มีที่ไหนรับเราเลย แม่โดนโกงเงิน เขาหลอกว่าให้เอาเงินให้เขาแล้วลูกคุณจะได้เข้าเรียน แม่โดนโกงมาเรื่อยๆ จนมาเจอผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำให้ฟ้าเรียนโรงเรียนสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ ฟ้าจึงได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ขอนแก่น จนถึงม. 3 และจบม.6 ที่โรงเรียนขามแก่นนครที่มีคนพิการเรียนอยู่ไม่กี่คน แต่เพราะเราอยากเรียนสายสามัญมากกว่าสายอาชีพเหมือนที่คนอื่นชอบคิดว่าควรให้คนพิการเรียน”
หลังศึกษาจบน้องฟ้าสอบเอ็นทรานซ์ติดทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผลการสอบชิงทุนเรียนศึกษาต่อต่างประเทศของเธอได้รับการคัดเลือก เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศในสาขาสังคมและอาชญากรรม ที่มหาวิทยาลัย MMU แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษแทน
“ฟ้าเลือกเรียนด้านนี้เพราะชอบ และฝังใจ เพราะมันเกี่ยวกับสังคมและพฤติกรรมของคนในสังคม ตอนเด็กๆ ฟ้ารู้สึกว่าแม่โดนโกง ขนาดเราจะเข้าเรียนยังต้องเอาเงินยัดใต้โต๊ะ และตอนเด็กๆ เราชอบดูข่าวเจอคนพิการโดนแย่งสิทธิ โดนตัดสิทธิทำงานตามบริษัทต่างๆ เลยตั้งคำถามว่าทำไมคนพิการต้องขายลอตเตอรี่เป็นส่วนใหญ่ ทำไมรัฐไม่ผลักดันหรือให้โอกาสกับคนพิการที่มีความสามารถ เพราะฟ้าเชื่อว่าคนพิการทุกคนมีความสามารถแต่ขาดโอกาส แต่ที่ต่างประเทศเขาไม่คิดแบบนี้ อยากไปเอารูปแบบสังคมของเขามาปรับใช้ในบ้านเรา ฟ้าอยากเป็นนายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ฟังดูอาจไกลเกินไป แต่ฟ้าก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสไปยืนอยู่ในจุดที่สามารถช่วยคนพิการได้ไหม แต่มั่นใจว่าในอนาคตขอมีบทบาทสักนิดที่จะเป็นกระบอกเสียงให้คนพิการที่ไม่กล้าเรียกร้องสิทธิจากคนปกติ”
แม้ในช่วงแรกของการไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนเพียงลำพังจะทำให้เธอต้องเสียน้ำตาเพราะต้องปรับตัวมากมายทั้งเรื่องอาหาร อากาศ และวัฒนธรรม แต่เธอก็พยายามหาแรงบันดาลใจและสร้างกำลังใจให้ตนเองด้วยการนึกถึงโอกาสที่เธอมีมากกว่าเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาคนอื่นๆ ที่อาจจะไม่มีทุนเรียน ไม่มีเสื้อผ้า แต่เธอมีทุกอย่าง และจะมีคนพิการสักกี่คนที่มีโอกาสได้มาเรียนต่อต่างประเทศเช่นเดียวกับเธอ นั่นจึงทำให้เธอมุ่งมั่นและพยายามต่อไป
ยิ้มสุขได้ แม้ร่างกายไม่สมบูรณ์
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาน้องฟ้าพบเจอกับสายตา ความกดดันรอบๆ ตัวหลายอย่าง ถ้าเธอไม่เข้มแข็งและมีพื้นฐานความคิดในเชิงบวก คงไม่สามารถทำให้เธอมีวันนี้ วันที่เธอกล้าออกมาใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป วันที่เธอกล้าตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ อะไรทำให้เธอพลิกปัญหาเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองได้เช่นนี้
“อย่างแรกต้องเปลี่ยนมุมมองแทนที่จะมานั่งถามว่าทำไมฉันต้องเดินไม่ได้ ทำไมเวลาเดินผ่านร้านรองเท้าแล้วฉันไม่มีรองเท้าใส่เหมือนคนอื่น เปลี่ยนเป็นไม่มีรองเท้าใส่ก็ไม่เป็นไร ชาติหน้าค่อยใส่ใหม่ก็ได้ มองบวก คิดบวก แล้วชีวิตมันจะดีขึ้น ถ้ามองลบจิตใจมันจะแย่แน่นอน เราเป็นแบบนี้แล้วจิตใจยังมาแย่อีกคงไม่รอดแน่ ฟ้ายิ้มได้ ไม่อายใคร เพราะเป็นคนยอมรับตัวตนของตัวเอง ยอมรับว่าเราอยู่จุดไหน ยิ่งฝืนจะยิ่งทำให้เราไม่มีความสุข ต้องยอมรับความจริงให้ได้และปล่อยวาง”
สำหรับเธอแล้วจึงอยากส่งต่อแนวคิดและความมั่นใจให้กับคนพิการ ลองก้าวออกมาจากบ้านสักก้าวหนึ่ง หรือสิบก้าวและออกมาสู้
“ฟ้ารู้ว่าทุกคนต้องท้ออยู่แล้ว ถ้าใจเราสู้ คำว่าพิการไม่มี อย่ามองว่าตัวเองคือคนพิการ อย่ามองว่าตัวเองประหลาดหรือต่างจากคนปกติ ฟ้าไม่มีขา ฟ้าก็ไม่ได้เป็นเอเลี่ยนหรือตัวตลก เราหายใจร่วมกันทั้งโลก เราต้องแสดงความสามารถออกมาให้เต็มที่เพื่อให้คนปกติเห็นว่าเราทำอะไรได้เยอะกว่าที่เขาคิด อย่าทำอะไรที่บั่นทอนตัวเอง อย่าคิดว่าทำไม่ได้ถ้าไม่เคยทำ”
แน่นอนว่ากำลังใจที่สร้างจากตนเองอาจไม่เพียงพอ ถ้าคนใกล้ชิดและรอบข้างไม่ได้สนับสนุนหรือส่งกำลังใจให้
“สำหรับคุณพ่อคุณแม่ขอให้มั่นใจในตัวลูกหลานของคุณว่าเขามีความสามารถ ต้องให้กำลังใจเขา เหมือนฟ้าที่ได้กำลังใจเต็มเปี่ยมจากแม่ตั้งแต่เด็กจนโตและทำให้ฟ้ามายืนตรงจุดนี้ได้ ฟ้าว่าพลังของครอบครัวเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการที่จะทำให้ใครสักคนกล้าที่จะออกมาเผชิญสิ่งเลวร้าย กล้าที่จะออกจากกรอบของตัวเอง อย่าพูดหรือเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนปกติหรือลูกคนอื่น”
เมื่อ “นางฟ้ารถเข็น” หัวใจเป็นสีชมพู
เพราะความคิดบวกจึงทำให้นางฟ้ารถเข็นกลายเป็นหญิงสาวที่มีความสุข และตอนนี้ดูเหมือนความสุขของเธอจะทวีคูณขึ้นเพราะหัวใจของเธอกำลังมีความรัก ที่เชื่อแน่ว่าหลายคนคงมีคำถามว่าความรักครั้งนี้ของเธอเกิดขึ้นได้อย่างไร และเธอจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะเป็นความรักที่เธอจะมีความสุขไปกับมันได้ตลอด
“ฟ้าเคยคิดและโพสต์สเตตัสหนึ่งในเฟชบุ๊คว่า “คนพิการกับคนปกติจะสามารถเป็นแฟนกันได้ไหม” เพราะตอนนั้นสต็อป (กอบกิจ จันทร์เจิดกาญจน์) แฟนคนปัจจุบันเริ่มจีบฟ้าแล้ว ตอนนั้นเราเลยอยากได้ความคิดเห็นจากเพื่อนๆ ที่เขาติดตามเรา บางคนบอกว่าไม่ได้ บางคนบอกว่าขึ้นอยู่กับบุญวาสนาหรือผลประโยชน์ ตอนเขามาจีบแรกๆ ก็กลัวเหมือนกันว่าจะมาหลอกเราหรือเปล่า คิดว่าจะไปด้วยกันรอดไหม อีกอย่างฟ้าอยู่ต่างประเทศ เขาอยู่เมืองไทย เฟสไทม์คุยกันทุกวัน เขาก็ขอเป็นแฟนอยู่นั่น จนต้องไปปรึกษากับเพื่อนฝรั่งและอาจารย์ที่เราสนิท ท่านก็บอกว่าให้เราลอง ไม่ลองก็ไม่รู้ พอพูดแบบนี้มาเราก็เลยโอเค ตอนแรกคิดว่าคนไทยจะมองไม่เหมือนคนอังกฤษ คนอังกฤษไม่เป็นไรแต่คนไทยอาจคิดไม่เหมือน อาจารย์พูดถูกไม่ลองก็ไม่รู้ เสียใจก็ลองดู ถ้ามาหลอกเราก็ถือว่าเป็นบทเรียน ตอนนั้นปลอบใจตัวเองเหมือนกันว่าคงไม่มีคนบ้าที่ไหนมาหลอกคนพิการหลอก ต้องกลัวบาปบ้าง”
ด้านสต็อปแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ห่างกลับเลือกที่จะคบกับน้องฟ้าแบบไม่สนใจว่าเธอเป็นคนพิการ
“มีคนถามเหมือนกันว่าทำไมมาคบกับคนพิการ แต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ว่าแต่กลับเห็นด้วย เพราะการที่เราเปิดรับคนพิการที่ไม่ใช่คนปกติมาเป็นแฟนต้องยอมรับว่ามันทำใจเยอะนะ หมายความว่าเราต้องเตรียมใจของเราให้เยอะ ต้องเปิดใจของเราให้กว้าง เพราะคนปกติถามหน่อยว่ามีใครเดินมาอุ๊ย ! ชอบคนพิการคนนี้จัง มีแต่อุ๊ย! ชอบผู้หญิงคนนี้จังขาสวย หุ่นดี แต่มาคบกับฟ้าเราต้องปรับใจเราก่อน แต่เราไม่ได้รังเกียจคนพิการอยู่แล้ว แถวบ้านก็มีคนพิการ ผมก็เล่นกับเขาปกติ แล้วพ่อผมก็สอนว่าอย่าดูถูกคนอื่นถ้าเรายังไม่ดีพอ คนส่วนใหญ่จะถามผมว่าทำไมเลิกกับแฟนเก่ามาคบคนนี้ ผมก็จะตอบกลับไปว่า “ถ้าแฟนเก่ามันดีแล้วมันเข้ากันได้ก็คงไม่เลิก แล้วถ้าคนนี้เขาเป็นคนดี แล้วทำไม มันจะผิดอะไรทำไมถึงคบกันไม่ได้ แค่นั้นเองครับ”
แม้ต้นรักของทั้งคู่จะเพิ่งบ่มเพาะได้เพียงไม่นาน และคงไม่มีอะไรการันตีอายุขัยของความรักระหว่างน้องฟ้ากับแฟนหนุ่มได้ดีไปกว่าความรัก ความเข้าใจที่ทั้งคู่มอบให้แก่กัน แต่ในเมื่อวันนี้ทั้งสองมีความสุข มันก็น่าจะเป็นสิ่งดีๆ แล้วมิใช่หรือ
หลายคำตอบจากบทสนทนากลับทำให้เราในฐานะคนที่มีแขน ขาครบถ้วนหวนคิดอยู่บ่อยๆ ว่า บางครั้งเราก็ล้มเลิกความฝัน ละทิ้งความพยายามในการกระทำบางอย่างลงกลางทาง เพียงเพราะเหนื่อย ท้อ ปัญหาเยอะ เสียเวลา นั่นอาจเป็นเพราะร่างกายของเราแข็งแรง แต่จิตใจและความคิดของเราเป็นคนอ่อนแอ แบบนี้จึงเริ่มไม่แน่ใจว่า ใครสมควรที่จะถูกเรียกว่า “คนพิการ” กันแน่