รับมือ “สิวที่หลัง” เป็นง่าย หายยาก

รับมือ “สิวที่หลัง” เป็นง่าย หายยาก

รับมือ “สิวที่หลัง” เป็นง่าย หายยาก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แทบทุกคนคงเคยเผชิญปัญหา “สิวที่หลัง” กันมาแล้วทั้งนั้น แถมเป็นแล้วยังรักษาให้หายยากอีกต่างหาก แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ วันนี้ แพทย์หญิงสายชลี ทาบโลกา คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การฝังเข็ม และการฟื้นฟูชะลอวัย ชีวจิตโฮมคลินิก มีคำแนะนำการรับมือกับปัญหานี้มาฝาก ^^

Question

เป็นคนมีสิวที่หลังค่ะ เป็นมานานแล้ว รักษาความสะอาดสม่ำเสมอ ก็ไม่หายสักที อยากทราบว่าสิวที่หลังเกิดจากอะไร และควรทำอย่างไรเพื่อลดการเกิดสิว

Answer

สิวที่หลังเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับที่ใบหน้า เกิดจากต่อมไขมันผลิตซีบัม (Sebum) มากเกินไป มีการอุดตันที่ท่อต่อมไขมันและรูขุมขน และเกิดการอักเสบ บวมแดง หรือเป็นหัวหนอง จากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอยู่บริเวณรูขุมขนที่ชื่อว่า P.acne

ปัจจัยภายในที่กระตุ้นทำให้เกิดสิว ได้แก่ อารมณ์และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งมีผลต่อฮอร์โมนภายในร่างกาย กรรมพันธุ์ และการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ก่อสิว (Comedogenic) เช่น เครื่องสำอาง สบู่ น้ำมันใส่ผม หรือ ครีมบำรุงผมบางชนิด ทั้งยังรวมถึงยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์และไอโอไดด์ เป็นต้น

ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ อาชีพและสิ่งแวดล้อม การทำงานในที่ร้อนชื้น มีเหงื่อมาก ทำให้เกิดการบวมของท่อต่อมไขมันจึงเกิดสิวตามมาได้ การเสียดสี เช่น จากการสะพายกระเป๋า ขอบยกทรง สวมสื้อผ้ารัดๆ

สิวที่หลังบางครั้งอาจเกิดจากการรักษาความสะอาด ไม่ถูกสุขลักษณะ แต่ในทางตรงกันข้าม การทำความสะอาดผิวมากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเกิดสิวได้

ยาทาและยากินที่ใช้รักษาสิวมีหลากหลายในปัจจุบัน เช่น เรตินอยด์ (Retinoids) ทำให้การสร้างเคราตินกลับสู่ภาวะปกติ และลดอาการอักเสบ ยาปฏิชีวนะช่วยลดปริมาณ P.acne และกรดไขมัน เบนซิล เปอรอกไซด์ (Benzyl Peroxide) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.acne ช่วยลดการอักเสบได้ เป็นต้น

ในรายที่มีปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดสิว เมื่อสาเหตุแล้ว ควรเลี่ยงหรืองดเสีย ก็เป็นทางที่ช่วยลดการเกิดสิวได้ดีอีกทางหนึ่ง เช่น สวมเสื้อผ้าโปร่งสบายระบายอากาศ หลีกเลี่ยงการแกะ เกา บีบ เอามือไปโดนบ่อย ทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสะอาด เพื่อชะล้างสิ่งตกค้าง หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ก่อสิว และเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่น พักผ่อนให้เพียงพอ กินผักและผลไม้รสไม่หวานจัดมากขึ้น ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook