ประสบการณ์จริง สาวหน้าปลวก โดนผู้ชายทิ้ง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ไฉไลกว่าเดิม

ประสบการณ์จริง สาวหน้าปลวก โดนผู้ชายทิ้ง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ไฉไลกว่าเดิม

ประสบการณ์จริง สาวหน้าปลวก โดนผู้ชายทิ้ง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ไฉไลกว่าเดิม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประสบการณ์จริงของหญิงสาววัย 29 ปี ที่มีหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธออกหัก โดนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ไฉไลกว่าเดิม เรื่องราวของเธอจะดราม่าเพียงใด มาติดตามกันเลยค่ะ

โดนผู้ชายทิ้งเพราะหน้าปลวก ความแค้นเลยเปลี่ยนจากปลวกเป็นคน

สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าจะแชร์เรื่องของตัวเองดีมั้ยมานานมาก เพราะเรื่องราวก็ไม่ได้น่าสนใจมากมายอะไร
แต่คิดไปคิดมา ยังมีผู้หญิงหลายคนที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้แน่นอน เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นกำลังใจให้กับหลายๆ คนนะคะ

เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่มีประสบการณ์ความรัก 3 เศร้ามาตลอด ย้ำว่า ตลอด!! ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรกันแน่ค่ะ แต่คิดว่านี่คือสาเหตุนึงแน่นอน นั่นคือ หน้าตา รูปร่าง นั่นเองค่ะ
เดิมแล้ว เราเป็นคนผอม ผอมมาก แต่โชคดีที่สูง แต่ความสูงนี่แหละค่ะ ทำให้ดูเป็นคนเก้งก้าง ผอมแห้ง นอกจากหุ่นแล้ว
มาประเด็นหลักกันที่หน้าตาเลยค่ะ เป็นยังไงบ้าง ตามนี้เลยค่ะ

- ฟันเหยิน
-เหงือกเยอะ
-ตัวดำ (แต่จริงๆ ก็ไม่ถึงกับดำหรอกค่ะ แค่ผิวสองสี ออกแนวผิวเสียซะมากกว่า)
-ตกกระ
ใช่ค่ะ ตกกระ เราเป็นกระบนหน้าและตามตัวตั้งแต่จำความได้ ตอนเด็กๆ ไปโรงเรียนเพื่อนๆ ชอบล้อว่าเราเป็นตัวประหลาด มีจุดๆ บนใบหน้าเต็มไปหมด ฟันก็เหยิน เหงือกก็เยอะ (ภาพแก้วหน้าม้าออกมาเลย)

 

5555555555 ก็นั่นแหละค่ะ

ต่อนะคะ ...
พอโตเป็นสาว ก็เริ่มมีความรัก ซึ่งตอนนั้นไม่รู้อะไรเข้าสิง คิดว่าตัวเองสวยมาก 55555555 (ย้อนกลับไปอยากจะร้องไห้) แล้วตามนั้นแหละค่ะ อกหักสิค่ะ
ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของกระทู้นี้ ด้วยความแค้นที่มีอยู่ทั้งหมด ทำไม?? ชั้นไม่สวยขนาดนั้นเลยหรอ (เออดิ) โอเคร๊ ชั้นจะสวยให้ดู
อยากแรกเลยค่ะ
ดัดฟัน ....

เราดัดฟัน ใช้เวลาดัดประมาณ 4-5 ปี ถอนออกแค่ 3 ซี่ ไม่มีฟันคุดอะไรเลยค่ะ แค่ถอน 3 ซี่ (บน2 ล่าง 1) และอุดฟันอีก 6-8 ซี่ แต่ที่ดัดนาน เพราะเราโดนปักหมุด

หลายคนคงจะไม่เข้าใจคำว่าปักหมุดนะคะ ขออธิบายก่อนแล้วกัน ปักหมุด ก็คือ การใช้เหล็กอันเล็กๆ ลักษณะเหมือนหมุด ปักลงไปบนเหงือกค่ะ คาไว้แบบนั้น แล้วใช้ ยางดึงหมุดที่ปักไว้ กับยางที่เราใส่นั้นแหละค่ะ

หมอบอกว่า มันจะช่วยให้ดึงฟันบนขึ้นเพื่อให้เห็นเหงือกน้อยลง (ฟันเรามีลักษณะทับกันค่ะ ฟันบนทับฟันล่าง แล้วเป็นคนฟันเล็กด้วยค่ะ)

ปักหมุดอยู่ประมาณ 3 ปีได้ค่ะ พอถอดเหล็กออก ก็ทำให้ยิ้มเห็นเหงือกน้อยลง แต่มันยังเห็นอยู่พอสมควรค่ะ หมอเลยแนะนำให้ทำการเลเซอร์เหงือก (ใช้เลเซอร์ตัดนะคะ ไม่ใช่ผ่า) เลเซอร์เหงือก เป็นแผลอยู่ 2-3 วันเองค่ะ
ไม่เจ็บอย่างที่คิดเท่าไหร่ค่ะ สบายมาก หลักจากถอดเหล็ก ก็สวยขึ้นค่ะ

อ่อ ลืมบอกไปว่า ระหว่างที่ดัดฟัน ก็มีความรักนะคร้า แต่ก็มีมือที่ 3 ที่สวยกว่าตลอดเลย อกหักอยู่ประมาณ 3 ครั้ง ในระยะเวลา 5 ปี แค้นสิค่ะ ชั้นต้องสวย แล้วเธอจะต้องเสียดายชั้น คอยดูแล้วกัน !!!!

ระหว่างที่ดัดฟันด้วย ก็เพิ่มน้ำหนัก โดยใช้อาหารเสริมยี่ห้อนึงค่ะ มีลักษณะเป็นโปรตีน ผสมนมแล้วเขย่าๆๆๆ แล้วกินก่อนอาหาร กินอยู่ประมาณ 3-4 เดือน น้ำหนักขึ้น 5-6 โลเลยค่ะ ตอนนั้นเริ่มคิดว่า ไม่ได้ละ มันอ้วนไป

อย่าค่ะ อย่าเพิ่งด่าว่า นี่อ้วนแล้วหรอ คือเราเป็นคนถ้าน้ำหนักขึ้น จะออกแก้มค่ะ แล้วข้ามไปที่พุง (ลงพุงเลยค่ะ แบบยื่นออกข้างหน้าเหมือนคนท้อง) แล้วไปที่ต้นขา และก้นเลย (ข้ามส่วนสำคัญของผู้หญิงไปอย่างน่าเสียดาย)

ตอนนั้นก็เครียดนะคะ นมก็เล็กด้วย ไม่มีนมเลยก็ว่าได้ค่ะ ตอนนั้นประมาณ 30 เองค่ะ ใส่บราไซส์ 32 หลวมมากค่ะ 555555555 แล้วก็เริ่มหัดแต่งหน้าค่ะ โดยโมเมพาเพลินค่ะ ลองผิดลองถูกกับการแต่งหน้านานอยู่เหมือนกันค่ะ

หลังจากพอเริ่มแต่งหน้าเป็น ก็ไปเลเซอร์ไฝที่หน้าค่ะ เรามีไฝที่หน้าอยู่ 3 เม็ดคือ หางตาขวา มุมปากขวา และใต้ริมฝีปากล่างค่ะ ตอนนั้นเลเซอร์ที่คลีนิคนึง เม็ดละ 500 บาทค่ะ แล้วก็มีสักคิ้ว 3 มิติด้วย แต่ตอนนี้ มันก็2 ปีได้แล้ว
มันก็จางลงไปเป็นเรื่องปกติ แล้วก็เริ่มทำเลเซอร์กระที่หน้าค่ะ เข้าคอร์สไป 10 ครั้ง ยิงเเบบคิวสวิส คือ แบบตกสะเก็ดเลยค่ะ หน้าจะตกสะเก็ดประมาณ 7 วันค่ะ แต่ทำเลเซอร์ไป 10 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่หายขาด และยังไม่หมด ยังคง
มีที่ใบหน้าอยู่ แต่น้อยลงกว่าเดิมเยอะมากค่ะ

หลังจากที่โดนทิ้งอยู่เรื่อยๆ ก็เอาความแค้นที่มีอยู่มาพัฒนาตัวเองทีละอย่างเท่าที่จะทำได้ค่ะ ก็เริ่มลดความอ้วน (ใช้คำว่าลดพุงดีกว่า) เริ่มออกกำลังกายบ้าง ช่วงนึงเราไม่สบาย ตรวจเลือด เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็น พาหะธารัสซีเมีย (โลหิตจาง)
ตอนนั้นพอรู้ว่าตัวเองเป็น ทำใจไม่ได้ค่ะ ร้องไห้หนักมาก ขออธิบายก่อนนะคะ บางคนจะไม่เข้าใจว่า แค่เลือดจาง มันก็ไม่เห็นต้องเสียใจอะไรขนาดนั้น ก็จริงค่ะ แต่ตอนนั้นเรามีความฝัน อยากทำงานอาชีพนึงค่ะ

อยากได้เงินมาซื้อบ้านให้พ่อกับแม่น้องๆ อยู่ อยากให้พ่อแม่สบาย แต่อาชีพนี้เค้าไม่ค่อยรับ หรือบางที่ก็ไม่รับ พนง.ที่เป็นโรคนี้ หรือเป็นพาหะของโรคนี้เลย เนื่องจากการทำงานมีผลกับเลือด และความดันค่ะ และโรคนี้มันมีผล
กับการมีลูกด้วยค่ะ ส่งผลให้สุขภาพร่างกายเราไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่น อ่อนแอ เพลียง่าย ไม่สบายง่าย ติดเชื้อง่ายกว่าคนอื่น

โอเค ต่อนะคะ ... พอเรารู้ว่าเราเป็นพาหะธาลัสซีเมีย เราเสียใจมาก รู้ว่าตัวเองเป็นได้แค่วันเดียว (ไม่ถึง 24 ชม. ด้วยซ้ำ) เราก็โดน ผช บอกเลิกกะทันหัน ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ มีทั้งบอกว่า เรานิสัยไม่ดี (อันนี้ก็อาจจะจริงก็ได้มั้งคะ) แต่ทำไมต้องมาบอกเลิกตอนที่ชั้นป่วย (ตอนนั้นเป็นหลายอย่างค่ะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลด้วย)

หลายเหตุผลมาก จนเหตุผลสุดท้ายที่ฟังทำให้เราจำใส่สมองมาทุกวันนี้ เค้าให้เหตุผลว่า เราเป็นพาหะธาลัสซีเมีย ซึ่งเค้าก็เป็นพาหะเหมือนกัน อย่าคบกันต่อเลย มันเสียเวลา !!!!!!!!!! ตึงงงงงงงง เราเสียใจมาก มากๆ เลยค่ะ
หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน เค้าก็มีคนใหม่!!!!!!!!! มันทำให้เราเข้าใจคำว่า เราจะรู้ว่าใครรักเราจริง ตอนที่เราเจอเรื่องหนักๆ รู้เลยค่ะ รู้ชัดแจ้งมาก อีกเหตุผล เราก็คิดว่า ปล่อยเค้าไปเถอะ เค้าน่าจะมีอนาคตที่ดีแน่นอน เค้าคงเดินได้ไกลกว่านี้ ซึ่งเราจะขอผ่านรายละเอียดตรงนี้ไปนะคะ

ไม่อยากกล่าวถึง ไม่อยากมีประเด็นอะไรกันอีก ข้ามไปนะคะ

พอหลังจากนั้นค่ะ เราก็ใช้เวลาจมกับน้ำตาหลายเดือนอยู่ค่ะ ตัดผมเลยค่ะ จากผมยาวเลยกลางหลังไป เหลือแค่ระดับคางเลยค่ะ จะคิดสั้นก็เคย แต่ด้วยความรักของพ่อ และครอบครัว เลยผ่านมาได้ ฮึดสู้อีกรอบ คิดว่า หนักกว่านี้เราก็ผ่านมาได้ แค่นี้เราก็ต้องผ่านได้ เสียใจหนักมาก คิดอะไรไม่ออก ขับรถจากย่านคลองตัน ไปตัดผมที่ดอนเมือง ตอนเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งวันนั้นประกาศเคอฟิวด้วย

ลืมเล่าอีกเรื่องค่ะ ช่วงที่ดัดฟันอยู่ เรามีความรักค่ะ ถึงขั้นจะแต่งงานกัน แต่อยู่ๆ ผช ก็ไปทำ ผญ อีกคนท้อง (น่าเศร้ามาก) เลยต้องจบกันไปแบบงงๆ ช็อคๆ

ต่อค่ะ เราหันมาออกกำลังกายค่ะ ตอนนั้นหมอแนะนำให้เล่นโยคะฟลาย เพราะกีฬาประเภทนี้จะปรับสมดุลในร่างกาย โดยเฉพาะส่วนของสมองได้ดีที่สุดค่ะ (จริงๆ ก็เพิ่งรู้จากหมอว่าเราเป็นหลายอย่างมาก)

เรามาเล่นโยคะฟลายได้แค่เดือนเดียวค่ะ กลับไปหาหมอตามนัด ตรวจเลือด ค่าความเข้มเลือดขึ้น จาก 9.8 เป็น 12.5 ภายใน 1 เดือนเท่านั้นเองค่ะ นอกจากความเข้มของเลือดจะขึ้น ทำให้เราหุ่นดีด้วย เอวกลับมาเล็กเหมือนเดิม
สุขภาพดีกว่าเดิม

หลังจากที่หุ่นกลับมาดีแล้ว ก็เริ่มบำรุงผิวค่ะ เดิมแล้วเราเป็นผู้หญิงขี้เกียจทาครีม เราไม่เคยทาครีมกันแดด ไม่เคยทาครีมบำรุงก่อนนอน หรืออะไรทั้งนั้น เลยทำให้กระที่หน้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็กลับมาทาครีมกันแดด เลือกใช้ครีมที่แก้ไขปัญหาหน้าโดยเฉพาะ กินอาหารเสริมด้วย เครื่องสำอางก็เลือกของที่ดีๆ กลัวแพ้ค่ะ

ล่าสุด กับการศัลยกรรมค่ะ

ด้วยความที่เรามีจุดด้อย เราก็พยายามลบจุดด้อยนั้นออกค่ะ เราเคยสาบานไว้ว่า ถ้าชาตินี้ไม่ได้ทำหน้าอก จะไม่ยอมตาย 555555555 ก็เลยไปทำหน้าอกค่ะ เราไม่รู้ว่าต้องทำขนาดกี่ cc เพราะเราไม่รู้ว่าใส่เท่าไหร่จะออกมาไซส์อะไร เราเดาขนาดไม่ถูก ( ก็คนหน้าอกเล็กอ่ะ มันอธิบายไม่ถูก) ก็ไปจัดมาสิคะ รออะไร จัดมา 410cc เลยค่ะคุณ สมใจเลยค่ะ (เราว่ามันใหญ่ไป) แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าต้องใส่บราไซส์ไหน

เพราะเราใส่สปอร์ตบราค่ะ ใส่สบายดี อีกอย่าง เคยซื้อแบบไซส์ 36c มาใส่ แต่ก็ใส่ไม่ได้ ก็เลยไม่ใส่เลยค่ะ อันนี้รูปล่าสุดนะคะ

สรุปนะคะ ....

เราอยากบอกกับเพื่อนๆ ผญ หรือ ผช ที่อกหัก หรือท้อแท้อะไรในชีวิตค่ะ อย่าหยุดอยู่กับที่ค่ะ ไม่ว่าจะเจออะไร เราต้องก้าวขาเดินต่อไปค่ะ แล้วต้องมั่นใจว่า เราจะทำให้มันดีกว่าเดิม คิดซะว่าที่ผ่านมาในชีวิต มันเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลง เป็นตัวผลักดันเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่าอยู่กับที่นะคะ เราต้องพัฒนา ไม่ว่าจะพัฒนาในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่เราต้องพัฒนาค่ะ

ถ้าเราไม่เจอความผิดหวัง เราคงไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในชีวิตแบบนี้แน่นอนค่ะ แต่ละคนมีชีวิตและประสบการณ์ที่ต่างกัน แต่เรามั่นใจว่า เราทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันนั่นคือ ประสบความสำเร็จในชีวิต ท้อเมื่อไหร่ แพ้เมื่อไหร่ ยอมเมื่อไหร่ คำว่าสำเร็จ มันจะออกจากตัวคุณไปไกลเรื่อยๆ นะคะ

ไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรมอะไรมากมายค่ะ เราก็ทำเท่าที่เล่าให้ฟังแค่นั้น แต่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ใจค่ะ ใจ เท่านั้นที่ทำให้ทุกอย่างมันดูดีขึ้น ลุกขึ้นมาแต่งตัว ลุกขึ้นมาดูแลตัวเองนะคะ มันส่งผลดีกับตัวคุณเองทั้งนั้นค่ะ ทั้งทางใจ และทางกาย รวมทั้งทางสังคมด้วย จริงๆ นะ

ถึงแม้ว่า เราจะเจอประสบการณ์ชีวิต ในเรื่องของความรักที่แย่มาตลอดก็ตาม แต่เราขอบคุณทุกคนที่ทำเรื่องแย่ๆ กับเรา ทำให้เราผลักตัวเองขึ้นมาได้ขนาดนี้ เราขอบคุณมาก แรกๆ เราแค้นทุกคน เราสัญญากับตัวเองไว้ว่า วันนึงเราต้องทำให้พวกคุณที่ทำให้เราเจ็บ เสียดายเราบ้าง วันนี้เราพอใจแล้ว เราไม่เคยเอาความแค้นไปทำให้ใครเดือดร้อน เราเอาความแค้นมาใช้กับตัวเราแทน

ตอนนี้เราก็จะ 30 แล้ว คิดว่า คงได้เวลาแต่งงานมีครอบครัวค่ะ อีก 2 เดือน เราจะเข้าประตูวิวาห์แล้ว กับ ผช ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเรามาตลอด ตั้งแต่เพิ่งดัดฟันใหม่ๆ จนมีนมค่ะ

ขอให้เพื่อนทุกคนสู้นะคะ ให้ท่องไว้เสมอว่า คนที่เจอหนักกว่าเรา เค้าก็ยังผ่านไปได้ เค้าไม่ใช่ลมหายใจเราค่ะ พ่อแม่ และครอบครัวเราต่างหากคือลมหายใจของเรา

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะคะที่ทนอ่าน ทนดูรูปมาตั้งนาน ผิดพลาดประการใดขอโทษด้วยค่ะ

ติดตามเรื่องราวของเธอได้ ที่ Facebook miizapple

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook