ชีวิตจริง (หวาน) ยิ่งกว่าในละคร เบนซ์ พรชิตา และมิค บรมวุฒิ

ชีวิตจริง (หวาน) ยิ่งกว่าในละคร เบนซ์ พรชิตา และมิค บรมวุฒิ

ชีวิตจริง (หวาน) ยิ่งกว่าในละคร เบนซ์ พรชิตา และมิค บรมวุฒิ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เราควรบอกรักและมอบแต่สิ่งดีๆ ให้กับคนที่เรารักทุกวัน เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าจะยังมีวันพรุ่งนี้ไหม โดย เบนซ์ พรชิตา และมิค บรมวุฒิ

ชีวิตจริง (หวาน) ยิ่งกว่าในละคร เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา และมิค บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ

ถ้าชีวิตเปรียบดั่ง “บทละคร” ชีวิตของคู่รัก เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา และ มิค บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ คงเป็นบทละครที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามเพื่อพิสูจน์รักแท้ กว่าความรักของทั้งคู่จะจบลงบริบูรณ์ด้วยการแต่งงาน พวกเขาต้องผ่านบททดสอบใดบ้าง ติดตามได้ที่นี่

หลายคนสงสัยว่าคู่นี้คบกันได้อย่างไร ใครจีบใครก่อน
มิค : เบนซ์จีบมิคก่อน

เบนซ์ : (หัวเราะ) จริงๆ ไม่มีใครจีบใครก่อนค่ะ

มิค : เริ่มจากมีเพื่อนเบนซ์คนหนึ่งมีแฟนแล้ว แต่มาเล่าให้ฟังว่าเบนซ์เป็นกิ๊กของเขา ผมก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้เหรอ ทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้รู้จักเบนซ์เป็นการส่วนตัว แต่รู้สึกได้ว่าเบนซ์ไม่น่าจะเป็นคนอย่างนั้น ผมได้แต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ จนวันหนึ่งบังเอิญเจอเบนซ์ที่กองถ่ายละคร จึงเดินเข้าไปถามว่า “น้องรู้จักคนนี้ไหม” เบนซ์ก็บอกว่า “รู้จักค่ะพี่” มิคถามต่อว่า “น้องเป็นแฟนเขาเหรอ” เบนซ์ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ผมเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เบนซ์ฟังเพราะอยากให้เบนซ์ระวังตัว จากนั้นไม่นานก็เห็นเบนซ์ยืนคุยกับเพื่อนคนนั้นดูสนิทสนมกัน ผมชอบล้อเล่นจึงหยอกเบนซ์ “ไหนบอกว่าไม่สนิทกันไง” เบนซ์เลยบอกผมว่า “พี่ ขอเบอร์หน่อยเดี๋ยวจะโทร.ไปเคลียร์” ตอนนั้นผมยังนึกในใจว่าจะเคลียร์ทำไม ผมไม่ใช่แฟนเบนซ์สักหน่อย

เบนซ์ : หลังจากวันนั้นเบนซ์ก็โทร.ไปอธิบายให้พี่มิคฟัง กลายเป็นว่าเราคุยกันต่อมาเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นพี่ที่คุยได้ ปรึกษาได้แทบทุกเรื่อง


ความรู้สึกแบบพี่น้องพัฒนาเป็นคบหาดูใจกันได้อย่างไรคะ
เบนซ์ : ตอบไม่ถูกเหมือนกันค่ะ คือเราแทบไม่มีช่วงจีบกัน เลยนึกไม่ออกว่าความรู้สึกเปลี่ยนไปตอนไหน

มิค :
สมัยนั้นไม่มีไลน์ มือถือส่งได้แค่เมสเสจ

เบนซ์
: เราส่งเมสเสจกันไปมาวันละ 2 – 3 ครั้งแค่นั้นเนอะ

มิค :
ไม่ใช่นะ เบนซ์ส่งหามิคเยอะ สมัยก่อนมิคน่ารัก(ยิ้ม)

เบนซ์
: แล้วสมัยนี้ไม่น่ารักเหรอ

มิค :
น่ารักกว่าเดิม (หัวเราะ)

เบนซ์
: เบนซ์คุยกับเขาแล้วสบายใจ เขาเป็นพี่ที่คุยได้ เป็นคนพูดตรงๆ อยู่ในวงการนี้เราหาคนที่พูดตรงๆ กับเรายาก แต่พี่มิคจะพูดจะเตือนตรงๆ คุยด้วยแล้วสบายใจ

ทั้งคู่ตรงกับสเป็คของกันและกันไหมคะ
เบนซ์ : ไม่ใช่เลยค่ะ

มิค : ไม่ใช่คนในสเป็คที่ผมจะจีบเลยเหมือนกันครับ(หัวเราะ)

เบนซ์ : แต่เบนซ์ชอบคนอารมณ์ดีนะ ตลกมาก เชื่อไหมว่า เบนซ์รู้จัก พี่ชาย - ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ มานาน แต่ไม่เคยรู้จักมิค - บรมวุฒิ ทั้งที่เป็นน้องของพี่ชาย ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยทำงานด้วยกัน ตอนที่คนอื่นรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน เขายังขำกันเลยว่าไปเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่

มิค : สมัยนั้นช่อง 3 ออกบู๊ธงานกาชาด ผมไปเป็นพิธีกร ส่วนเบนซ์ขายเฉาก๊วย คุณแม่เบนซ์เคยเดินมาหยอกผมว่า “จีบหน่อยสิ น้องเขาชอบเธอ” ผมยังตอบแม่แบบติดตลกไปว่า “ไม่ละแม่ ผมไม่ชอบคนดำ น้องดุ ผมไม่ชอบ”
แต่พอคบหาดูใจกันจริงๆ แม่คุณเบนซ์กลับหวงมาก

เบนซ์ : ใช่ค่ะ

มิค : ผมเจอบททดสอบสารพัด ขนาดคบกันหลายปีแล้ว วันหนึ่งพอผมเข้าไปสวัสดีพ่อแม่เบนซ์ที่บ้าน ทันทีที่เห็น คุณแม่เดินหนีออกจากบ้านไปเลย หรือเวลาไปกินข้าวกัน คุณแม่ตักกับข้าวให้เบนซ์แล้วบอกว่า “เบนซ์กินอันนี้ พี่คนนั้น (ผู้ชายคนอื่นที่เคยจีบเบนซ์) ชอบกิน” แม้แต่ในกองถ่ายก็ชอบชวนผู้ชายคนอื่นมาจีบเบนซ์ ทั้งที่ผมก็นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น หรือถ้าผมซื้อขนมซื้อผลไม้จากต่างประเทศไปฝาก ก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่า “วางไว้ตรงนั้นแหละ” แล้วเรียกให้คนงานที่บ้านเอาไปกิน เป็นอย่างนี้มาหลายปีครับ

ทั้งที่คุณเบนซ์ไม่ใช่สาวในสเป็ค แถมคุณแม่ยังขัดขวางอีก ทำไมคุณมิคยังอดทน
มิค : ช่วงแรกผมคิดว่าไม่ใช่สเป็ค แต่พอคุยไปคุยมา ผมก็รู้ว่าเบนซ์เป็นคนกตัญญู ซึ่งผมชอบมาก เพราะผมก็เป็นคนรักครอบครัว อันดับหนึ่งคือพ่อแม่และครอบครัว เบนซ์เป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน คนที่ผมเคยคบ แค่ยกเลิกนัดเพราะต้องไปทำธุระกับแม่กะทันหัน เขาก็โกรธ แต่เบนซ์ไม่ใช่คนแบบนั้น นี่คือจุดแรกที่ทำให้ผมชอบเบนซ์

เบนซ์ : เคยดูละครไหมคะ คนประเภทที่แม่ตามแล้วต้องรีบกลับบ้าน พี่มิคเป็นแบบนั้น แต่แม่พี่มิคน่ารักมาก และก็รักเบนซ์มากกว่าพี่มิคด้วยนะ

มิค : ใช่ครับ เวลาทะเลาะกัน แม่ผมจะเรียกเราทั้งคู่มานั่งแล้วถามว่า “มิครักเบนซ์ไหม ขอโทษเบนซ์เสีย” แต่เราไม่ค่อยทะเลาะกันใหญ่โตนะครับ อาจเพราะศึกษาดูใจกันมานานพอสมควรแล้วก็ได้ ก่อนหน้านั้นเบนซ์มักชอบพูดว่า “ถ้าพี่ทนหนูได้ภายในสองปีแรก พี่ก็อยู่กับหนูได้ตลอดชีวิต” แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะช่วงสองปีแรกเบนซ์งี่เง่ามาก ขี้หึงสุดๆ ขนาดโทรศัพท์มือถือมิคยังไม่ทันดัง เบนซ์ก็ถามแล้วว่า “ใครโทร.มา” เห็นรูปถ่ายคู่กับใครก็หึง พอมิคขอไปเจอเพื่อนบ้างก็ถามว่า “เพื่อนคนไหน เบนซ์ไม่รู้จัก ไม่ต้องไป”

ตอนนั้นเพื่อนถามเลยว่าผมทนทำไม ผมก็ตอบเพื่อนไม่ได้ว่าทำไม แต่ทุกวันนี้รู้แล้ว เพราะการที่ผมพาคนคนหนึ่งเข้าไปในครอบครัว ให้พ่อแม่เห็น แสดงว่าผมรักและมั่นใจในคนคนนั้นแล้ว พ่อแม่ผมก็รักคนคนนั้นไปด้วย หรืออาจรักมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งคนคนนั้นคือเบนซ์ ดังนั้นไม่ว่าเบนซ์จะงี่เง่าแค่ไหนหรือมีอุปสรรคอะไร ผมทนได้ พอครบสองปีแรกเบนซ์ก็เลิกงี่เง่าเลย เหมือนเขาลองใจมากกว่า

ส่วนคุณแม่ของเบนซ์ ภายนอกท่านดูเหมือนเป็นคนดุมาก แต่จริงๆ แล้วท่านเป็นคนจิตใจดี ทุกอย่างที่ทำก็เพราะรักและหวงเบนซ์มาก ผมเข้าใจดีทุกอย่าง จึงอดทนและเชื่อฟังมาตลอดด้วยความเคารพ

เบนซ์ : นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รักผู้ชายคนนี้ คือเบนซ์รู้ว่าแม่ดุมาก จึงมักบอกกับพี่มิคเสมอว่า “พี่ไม่มีทางเปลี่ยนแม่หนูได้ เพราะแม่หนูเป็นแบบนี้ พี่เป็นคนใหม่ในครอบครัว พี่ก็ต้องปรับตัว ไม่ใช่ให้แม่ปรับเข้าหาพี่ หนูรักแม่หนู ก็เหมือนกับที่พี่รักแม่พี่” พี่มิคน่ารัก เข้าใจ และอดทนมาตลอด


ทราบมาว่าคุณพ่อของคุณเบนซ์ตรงกันข้ามกับคุณแม่เลย เหมือนเป็นกามเทพ
มิค : ใช่ครับ คุณพ่อเบนซ์เหมือนเป็นกามเทพจริงๆ ท่านใจดีมาก ช่วงแรกผมกลัวคุณแม่มาก ท่านสั่งห้ามทุกอย่าง กีดกันทุกทาง ตรงกันข้ามกับคุณพ่อ ตอนนั้นผมเพิ่งคบกับเบนซ์ไม่นาน คุณพ่อโทร.มาบอกว่า “มิค วันนี้จะไปไหนไหม มารับเบนซ์ไปด้วยสิลูก” บางครั้งผมพาเบนซ์กลับบ้านดึก คุณพ่อก็จะบอกว่า “ก่อนเข้าบ้านให้โทร.บอกพ่อก่อน จะได้ขับรถเข้าบ้านพร้อมกัน แม่จะได้คิดว่าไปด้วยกัน” คุณพ่อใจดีมาก ดูแลผมทุกอย่าง ผมจึงยิ่งต้องทำตัวให้ดีให้สมกับความไว้ใจ จนทุกวันนี้แต่งงานแล้ว เวลาเราสองคนจะไปเที่ยวจะชวนพ่อไปด้วยตลอด ไปเที่ยวกันสามคนประจำ

เบนซ์ : พ่อคงคิดว่าถ้าปิดไม่ให้พี่มิคเข้ามาเลย ที่บ้านก็จะไม่มีใครรู้จักนิสัยใจคอเขา พ่อก็เลยใช้วิธีเปิด เพื่อทำความรู้จักและเรียนรู้นิสัยใจคอของพี่มิคไปพร้อมกับเบนซ์ด้วย

แล้วคุณมิคทำอย่างไรจึงเอาชนะใจคุณแม่ของคุณเบนซ์ได้

มิค
: ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องให้คุณแม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าไม่ใช่คนเกเร ช่วงที่คบกันใหม่ ๆ เคยมีคนไปกระซิบบอกคุณแม่เบนซ์ว่า “มิคพาผู้หญิงอื่นเข้าไปนอนกกในบ้าน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงเลย พอมิคจะอธิบาย คุณแม่ก็ไม่ยอมฟัง บอกว่า “ไม่ต้องพูด ฉันไม่ฟัง เธอเป็นผู้ชายไม่เสียหายนี่” ผมจึงไม่เถียง จนทุกวันนี้ผมแต่งงานกับเบนซ์ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เบนซ์ถึงกลับไปเล่าให้แม่ฟังว่า “แม่เลิกฟังเพื่อนคนนั้นได้เลย เพราะไม่มีใครเคยได้ขึ้นมานอนบนบ้านพี่มิคหรอก ห้องพ่อแม่เขาก็อยู่ติดกัน พี่มิครักพ่อแม่มาก ไม่มีวันพาใครมานอนกกที่บ้านอย่างที่เพื่อนแม่บอกแน่นอน” แม่จึงยอมเชื่อ

นอกจากนั้นผมโชคดีที่มีผู้ใหญ่เมตตา คือ มี้ (พิศมัย วิไลศักดิ์) และ อาต๋อย (ไตรภพ ลิมปพัทธ์) คุณแม่เบนซ์เคารพมี้มาก พอมี้รู้ว่ามิคคบกับเบนซ์ก็บอกคุณแม่ว่า “เบนซ์โชคดีแล้วที่คบมิค เขาเป็นคนน่ารักและเป็นคนดี” คุณแม่เบนซ์เคยบ่นให้อาต๋อยฟังเพราะสนิทกันว่า มิคมาจีบเบนซ์ อาต๋อยก็บอกว่า “เบนซ์เป็นแค่นางเอก ส่วนมิคบ้านเขาเคยเป็นถึงฑูต เป็นนายพล มิคก็เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กยันโต เขาผิดอะไร ทำไมต้องไปรังเกียจเขา” ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่เบนซ์ก็เริ่มใจดีกับมิคมากขึ้น

ที่ผ่านมาผมใช้ความอดทน เข้าใจ และจริงใจ ยอมรับว่ารู้สึกเหนื่อยใจมากที่ทำอะไรก็ไม่เคยเข้าตาคุณแม่เบนซ์เลยสักครั้ง ผมถึงกับร้องไห้บ่อย ๆ นานหลายปีกว่าคุณแม่จะค่อย ๆ ยอมรับว่าผมไม่ใช่เป็นคนไม่ดีหรือเจ้าชู้อย่างที่คิด จนกระทั่งวันแต่งงานที่หัวหิน ผมถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงวิธีปกป้องดูแลเบนซ์ในแบบของแม่

เบนซ์ : เรื่องนี้เบนซ์ขอเล่าค่ะ คือวันแต่งงานพวกเราพ่อลูกวางแผนกันว่าพ่อจะเป็นคนพูดบนเวทีทั้งหมด แล้วให้แม่พูดเสริมแค่นิดหน่อย เพราะกลัวว่าแม่อาจเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูออกไป ปรากฏว่าผิดคาด วันนั้นแม่ขึ้นเวทีแล้วพูดว่า “แม่ไม่มีอะไรจะพูดมาก รู้แล้วว่าต่อจากนี้แม่ฝากชีวิตเบนซ์ไว้ที่มิคได้ สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดแม่อยากพูดคำเดียวว่าแม่ขอโทษ” วันนั้นเบนซ์ร้องไห้โฮด้วยความซาบซึ้ง แม่รักและดูแลเบนซ์มาอย่างดีที่สุดจริง ๆ

ถ้ามีลูก คุณเบนซ์จะเลี้ยงเหมือนคุณพ่อคุณแม่ไหมคะ
มิค : ผมกับเบนซ์คิดกันไว้แล้วว่าเราจะเลี้ยงลูกแบบที่พ่อแม่เลี้ยงเรามา คือตีอย่างมีเหตุผล เช่น ถ้าลูกเป็นเด็กไม่นอบน้อม ไม่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ นิสัยไม่น่ารัก

เบนซ์ :
เบนซ์คิดว่าเบนซ์คงเป็นแม่ที่ขี้บ่น บ่นนู่นนี่ไปเรื่อย แต่ถ้าเรื่องดุหรือเรื่องจริงจังคงยกให้พี่มิคเป็นคนดูแล เพราะเขาเด็ดขาดกว่าเบนซ์ ลูกคงเชื่อมากกว่า

หลังแต่งงานชีวิตเปลี่ยนไปมากไหมคะ
มิค : เปลี่ยนครับ แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราคบกันเหมือนเป็นเพื่อน ไม่ได้ยึดติดว่าเธอเป็นภรรยา ฉันเป็นสามีเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะคาดหวังในตัวกันและกันมากเกินไป

เบนซ์ : เบนซ์ว่าหลังแต่งงานไปแล้วเรายิ่งต้องใจกว้างให้มากขึ้นอีก ควรให้พื้นที่กันและกันได้ทำในสิ่งที่รัก ไม่ใช่รั้งตัวเขาติดไว้กับเราตลอดเวลา และสิ่งที่สำคัญคือ ต้องคุยกันแล้วปรับทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน

มิค : เวลาไม่ชอบอะไรก็จะบอกตรง ๆ โชคดีที่เบนซ์เข้าใจอะไรง่าย ๆ เป็นคนพูดตรง ๆ ไม่คิดมาก ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ นิสัยเหมือนผู้ชาย ตรงกันข้ามกับผมที่นิสัยเหมือนผู้หญิง ช่างจดช่างจำ คิดมาก และแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราเหมือนเป็นความต่างที่ลงตัวกัน

เบนซ์ : เบนซ์ต้องขอบคุณ พี่ลูกศร - ธนาภรณ์ จิตต์จำรึกที่แนะนำดีมาก พี่ลูกศรบอกว่า “ผู้หญิงส่วนใหญ่มักอยากเป็นช้างเท้าหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ควรเป็นควาญช้างมากกว่า ไม่ได้ต้องการจะกดขี่เขา แต่ควรอำนวยความสะดวก เข้าใจ และสนับสนุนสามีในทุกเรื่อง เช่น ถ้าเขาอยากไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วเราไม่ให้ไป เขาจะรู้สึกไม่ดี เราไม่ควรทำอย่างนั้น ควรปล่อยให้เขาไป และเราต้องไปกับเขาด้วย หรือถ้าวันไหนเราทำงานมาเหนื่อย ๆ แล้วสามีชวนไปดูหนัง ก็ควรทิ้งความเหนื่อยแล้วไปดูหนังกับเขา เพราะถ้าเราปฏิเสธเขาเรื่อยๆ คราวหน้าเขาจะไม่ชวนเราอีก

ซึ่งเสี่ยงมากที่เขาจะไปดูกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ขี้เหนื่อยเหมือนเรา แล้วครอบครัวก็จะห่างเหินกันออกไป ตรงกันข้ามถ้าเราไปกับสามีทุกครั้ง เขาก็จะมีความสุขมาก เพราะเราไม่เคยขัดใจ อยากทำอะไรก็ได้ทำ ยิ่งกว่านั้นเวลาเขาอยากทำอะไร เขาก็จะนึกถึง อยากชวนเราไปด้วย ครอบครัวก็อบอุ่น” หนูฟังแล้วรู้สึกขอบคุณพี่ลูกศรมาก

มิค : ผมก็โชคดีไปด้วย หลังจากคุยกับพี่ลูกศร เบนซ์ก็ชวนมิคขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินข้าวข้างนอก โอ้โห ผมดีใจมากไม่เคยคิดเลยว่าพรชิตาจะพูดคำนี้ออกมา ผมรีบไปซื้อหมวกกันน็อกแล้วพาภรรยาขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินข้าว มีความสุขมาก ผมชอบรถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว แต่เบนซ์กลัวไม่กล้าซ้อน ผมเลยไม่ค่อยได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหน และที่ตื่นเต้นกว่านั้น ไม่นานเบนซ์ก็ดาวน์มอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้ด้วย ช่วงนั้น พี่อ๊อฟ - พงษ์พัฒน์ โทร.มาแซวใหญ่เลย (หัวเราะ)


หลังแต่งงานได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่บ้างไหมคะ
มิค : ดูแลพ่อแม่ทุกวันครับ ทั้งสุขภาพ อาหาร และจิตใจ ที่บ้านมิคเราสนิทกันมาก มิคกอดหอมพ่อแม่ทุกวัน ออกมาข้างนอกก็โทร.หาท่านแทบทุกชั่วโมง กินข้าวด้วยกันทุกเย็นถ้าไม่มีใครติดธุระที่ไหน พอแต่งงานแล้วเบนซ์มาเป็นสมาชิกคนใหม่ในบ้าน ยิ่งอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม

เบนซ์ :
หลังแต่งเบนซ์ย้ายมาอยู่บ้านพี่มิค แต่ก็ยังไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านพ่อแม่และบ้านพี่มิค เบนซ์ไม่อยากย้ายออกมาเลย จะดูเหินห่างเกินไปสำหรับบ้านเบนซ์ เพราะเบนซ์อยู่กับพ่อแม่มาตลอด เมื่อก่อนเบนซ์ให้แม่ดูแลเรื่องเงินให้ทุกบาททุกสตางค์ แทบไม่ถือเงินเอง ก่อนแต่งแม่ยังขู่พี่มิคเลยว่า “แต่งได้ แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องให้แม่เก็บเหมือนเดิม ให้สามีเลี้ยง”

มิค : มิคเลี้ยงได้อยู่แล้วครับ ทุกวันนี้เงินเบนซ์ก็คือเงินเบนซ์ แต่เงินมิคคือเงินเรา (หัวเราะ) ผมไม่ได้รวยครับ แต่สามารถเลี้ยงดูเบนซ์ได้

เบนซ์ : เมื่อก่อนเบนซ์ยกเงินให้แม่ดูแลทั้งหมด พอแต่งงานแล้วเบนซ์ก็ปรับเป็นให้เงินแม่ก้อนใหญ่ทุกเดือนแทนเพราะไม่อยากให้แม่รู้สึกไม่ดี ส่วนเงินที่เหลือเบนซ์ก็เก็บเอาไว้สำรองเผื่อใช้ในอนาคต
ใช้หลักธรรมอะไรในการประคองชีวิตคู่

มิค : ให้อภัยครับ แล้วก็มีสติ เข้าใจว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เพราะฉะนั้นจะใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทั้งในฐานะสามีและฐานะลูก ถ้าวันนี้ตายไปจะไม่เสียดาย เพราะวันนี้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่เหลืออะไรติดค้างในใจแล้ว

เบนซ์ : เหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยบอกรัก แต่พี่มิคจะสอนเลยว่าเข้าใจผิดนะ เราควรบอกรักกันทุกวัน ไม่ใช่พูดเฉพาะวันที่เราอยากพูดเท่านั้น และควรมอบสิ่งดี ๆ ให้คนที่เรารักทุกวันด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะจากกันเมื่อไหร่ อาจเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้ ดังนั้นต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะได้ไม่เสียใจภายหลัง เบนซ์เอาเรื่องนี้มาปรับใช้กับทุกคน ทุกวันนี้เบนซ์กอดและหอมพ่อแม่ทุกวัน ปกติบ้านเบนซ์ไม่ค่อยแสดงออกเรื่องความรักกันสักเท่าไหร่ จนกลายเป็นว่าทุกวันนี้พ่อและแม่ก็กอดหอมเบนซ์ทุกวันด้วย เรามีความสุขกันมาก

มิค : ทุกวันนี้ถ้าผมเข้าบ้านเบนซ์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือกอดคุณแม่เบนซ์ครับ ตลกมาก ถ้าวันไหนผมทำอย่างอื่นก่อน คุณแม่มีงอนนะ ต้องรีบเข้าไปกอดก็จะหายงอนครับ (ยิ้ม)

วิธีทำบุญในแบบคุณเบนซ์และคุณมิคเป็นอย่างไรคะ
มิค : เราทำบุญกันเป็นประจำ ส่วนใหญ่เน้นทำทานมากกว่า

เบนซ์ : เราชอบไปใส่บาตรทำบุญที่วัดใกล้บ้าน ไปกันทั้งครอบครัว ทุกอาทิตย์เลย นอกนั้นก็จะทำบุญปล่อยโคกระบือบ้าง เลี้ยงอาหารและบริจาคเงินให้เด็ก ๆ ยากไร้ แต่ถ้ามีเวลาจริง ๆ ก็จะไปถือศีลปฏิบัติธรรม รู้สึกดีมาก เหมือนได้ชาร์จแบตให้ตัวเอง

มิค : เราสองคนเชื่อมาตลอดว่าการทำบุญไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองมากมาย ถ้าเราไม่พร้อมก็ไม่ควรทำบุญแล้วสร้างความลำบากให้ตัวเอง เพราะนอกจากไม่ได้บุญแล้ว ยังเป็นบาปด้วย อาจใช้วิธีทำบุญด้วยการลงแรง ช่วยเหลือคนอื่นหรืออาจบริจาคโลหิตก็ได้ และอีกบุญหนึ่งที่เราสองคนทำเป็นประจำคือ ทำบุญกับพ่อแม่ หรือพระอรหันต์ของเราเองนี่แหละ แค่ทำให้ท่านมีความสุขทั้งกายและใจ เราก็มีความสุขแล้ว และยังได้บุญทันตาด้วย ไม่ต้องรอชาติหน้าหรือชาติไหนเลย

ความรักแท้แม้จะมีอุปสรรคหนักหนามาขัดขวางเพียงใด ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์

อัลบั้มภาพ 28 ภาพ

อัลบั้มภาพ 28 ภาพ ของ ชีวิตจริง (หวาน) ยิ่งกว่าในละคร เบนซ์ พรชิตา และมิค บรมวุฒิ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook