เส้นทางพิธีกร สุริวิภา พูนพิพัฒน์ (กุลตังวัฒนา)
หนูแหม่ม เธอเริ่มต้นเข้าวงการมาเมื่อ 20 ปีก่อนด้วยบทตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่อง วัยระเริง จากนั้นก็กระโดดเข้ามาในเส้นทางสายพิธีกร ด้วยการเป็นพิธีกรหญิงเดี่ยวในก๊วน ยุทธการขยับเหงือก หลังจากนั้นก็มาเป็นพิธีกรเต็มตัวในรายการ สมาคมชมดาว ล่าสุดเธอมีรายการ สุริวิภา ชื่อเดียวกับชื่อตัวเธอเอง เข้าวงการมาจะ 20 ปีแล้ว เริ่มจากเล่นหนังเรื่อง วัยระเริง ของคุณเปี๊ยก โปสเตอร์ เขาประกาศรับตัวประกอบจำนวนมากไปถ่ายหนังที่เชียงใหม่ ด้วยความอยากไปเชียงใหม่อยู่แล้ว เรากับเพื่อนๆ เลยส่งรูปไปทั้งกลุ่ม แล้วเขาก็เรียกเราให้ไปเล่น จากหนังเรื่องวัยระเริง ก็ไปเล่นหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่บทโดดเด่นอะไรมาก จนวันหนึ่งคุณวัชระ แวววุฒินันท์ ชวนให้ไปทำ ยุทธการขยับเหงือก เขาคงเห็นเราเล่นหนังเลยเรียกเรามาถามว่าสนใจทำงานพิธีกรสนุกๆ ไหม บวกกับตอนนั้นกันตนาก็เรียกให้ไปเล่นละครตอนเย็น เรื่องกว่าจะรู้เดียงสา ลมหายใจไม่เคยแพ้ ฯลฯ ตอนนั้นละครตอนเย็นกำลังครองตลาด ช่วงนั้นเลยทำงานละครควบคู่กับยุทธการขยับเหงือก เราได้เรียนรู้งานพิธีกรจากเวทียุทธการขยับเหงือกมานานเกือบ 9 ปี รู้สึกว่าทุกวันที่เราทำเป็นประสบการณ์เป็นชั่วโมงบินที่เราเก็บสะสมไว้ ในช่วงแรกที่ยุทธการฯ พีคมากๆ มีโอกาสได้ทำงานพิธีกรนอกเยอะ ได้ทำรายการเกมโชว์มากขึ้น เหมือนได้เรียนรู้ วันหนึ่งก็ทำให้เรารู้โดยธรรมชาติเองว่า เราเหมาะกับการเป็นพิธีกร เป็นงานที่ทำให้เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ตอนทำรายการ สมาคมชมดาว เป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนจากการทำคู่กับพิธีกรชายมาเป็นพิธีกรหญิง พอเปลี่ยนมาทำกับผู้หญิงภาพเลยเริ่มเปลี่ยน และชัดเจนขึ้น ซึ่งรูปแบบของรายการสมาคมชมดาวไม่ใช่วาไรตี้เหมือนยุทธการขยับเหงือก แต่เป็นทอล์กโชว์ล้วนๆ ฉะนั้นผู้ที่ควบคุมรายการบนเวทีทั้งหมดต้องเป็นพิธีกรเพียง 2 คน ภาพของพิธีกรเลยเริ่มชัดขึ้น ส่วนรายการ สุริวิภา คิดว่ายากที่สุดในชีวิตที่เคยทำมา เพราะแขกรับเชิญแต่ละคนไม่ใช่ดารา แต่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ประวัติของเขาจะไม่ค่อยมีใครรู้มากนัก ทำให้เราไม่คุ้น และอบอุ่นเหมือนที่เราเคยทำอย่างที่ผ่านมา เพราะความคุ้นเคยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ทุกครั้งที่จะอัดรายการเลยต้องไปอัด outdoor ข้างนอกก่อน เพื่อสร้างความคุนเคยกัน และต้องทำการบ้านหนักกว่าทุกรายการที่ผ่านมา งานพิธีกรบอกเป็นสูตรสำเร็จไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับแขกและเรื่องราวที่เราทำ ต้องมีประสบการณ์ ไม่ใช่มีแค่พรสวรรค์ หรือปฏิภาณไหวพริบอย่างเดียว มันต้องมีการฝึกฝนด้วยถึงจะมีพัฒนาการที่ดีได้ จะเห็นว่าปัจจุบันนี้พิธีกรที่มาใหม่จะมาง่ายไปง่าย เพราะเขาไม่ได้มาเป็นสเตป มาถึงก็ประกาศบอกทุกคนเลยว่าเป็นพิธีกร ถ้าคนที่มีความสามารถสูง หรือคนที่พูดภาษาอังกฤษเก่งก็จะอยู่ได้นานหน่อย ฉะนั้นสิ่งที่เรามีไม่ใช่พรสวรรค์ ไม่ใช่แค่เก่ง แต่เป็นเพราะประสบการณ์ที่เก็บสั่งสมมาตั้งแต่เริ่มต้นที่ทำยุทธการขยับเหงือก สำหรับพิธีกรรุ่นใหม่ทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ทั้งนี้การเรียนรู้สามารถดูคนอื่นเป็นตัวอย่างได้ แต่ต้องไม่ลอก ต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ที่สำคัญคือต้องชอบดู ชอบฟัง และชอบอ่าน เราเป็นคนที่มีความสามารถในการเก็บรายละอียดของคนเล่ามาเล่าต่อให้สนุกได้ นำสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังมาต่อยอดให้สนุกได้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ใส่อารมณ์ให้สนุกขึ้น อันนี้คือสิ่งที่เรามีอยู่ในตัว ซึ่งไม่ได้รู้ตั้งแต่เริ่มต้นทำพิธีกรว่าเรามีความสามารถขนาดไหน แต่ทำไปทำมาแล้วมันรู้เองด้วยชั่วโมงบิน คงไม่มีอะไรแนะนำนอกจากนำสิ่งที่มีอยู่ในตัวมาทำให้ดีที่สุด แล้วเวลาพูดเสียงต้องไม่น่ารำคาญ อันนี้สำคัญมาก จังหวะพูดต้องน่าสนใจ ดึงให้คนดูอยู่กับเราได้หรือไม่ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองสำคัญที่สุด ถ้าเรารับปากทำอะไรแล้วจะทำให้เขาเต็มที่ เคารพคนเขียนสคริปต์ จะพูดตามสคริปต์ที่เขาเขียนมาเป๊ะ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์กับแขก ให้เขารู้สึกอบอุ่นไว้ใจในขณะที่นั่งคุยกับเรา ปกติแล้วคนอื่นเขาอยากจะมีรายการเป็นตัวของตัวเองในสักวันหนึ่ง แต่เราแปลกกว่าพิธีกรคนอื่น แม้จะมีรายการชื่อสุริวิภาก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเอง เพราะเรามีจุดมุ่งหมายไม่เหมือนคนอื่น เรารู้ขีดความสามารถของตัวเอง ไม่สามารถรับผิดชอบงานที่มีความละเอียดขนาดนั้นได้ เลยขอเป็นมือปืนรับจ้างแบบนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดแรง หรือหมดความสามารถ ทำแค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว เสร็จจากงานก็กลับบ้าน ไม่ต้องมานั่งปวดหัว สำหรับงานพิธีกรในปัจจุบัน ถ้าพูดถึงเนื้องานเราชอบ เพราะมีความหลากหลายให้คนเลือกเป็นพิธีกรได้เยอะ มีทั้งวาไรตี้ ทอล์กโชว์ เกมโชว์ รายการธุรกิจ เศรษฐกิจ ซึ่งงคนเหล่านั้นอาจจะไม่ถึงกับต้องเป็นนักข่าว แต่เป็นคนที่มีความรู้ในด้านนั้นๆ ก็สามารถเป็นพิธีกรได้ ทำให้ปัจจุบันมีพิธีกรเกิดใหม่มากขึ้น และเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถได้ แสดงความสามารถได้มากขึ้น