ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล
ตุ้ย-ธีรภัทร์ สัจจกุล. . . ผู้ชายที่โลกหมุนด้วยเสียงเพลง
จากคนเบื้องหน้า มาสู่แท่นนักบริหารผู้ควบคุมดูแลการผลิตทั้งหมดของคลื่นวิทยุใหม่ล่าสุดในเครืออสมท.
เขาพูดกับเราถึงวิธีการนำเสนอกับสารที่ต้องการสื่อ และตอนนี้เขาก็แค่เปลี่ยนเครื่องส่งสารรูปแบบใหม่เท่านั้น
เขายืนยันว่ายังคงเป็นนักดนตรีอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนสถานะเป็นหัวหน้าวงแทน
อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาบอก ผมใช้ความรักเสียงเพลงเป็นตัวตั้ง
เปิดใจสนทนา ฉบับนี้จะพาคุณไปพบกับโลกที่หมุนจากแกนสำคัญอันนี้ของเขา
คุณตุ้ยมาเป็นผู้จัดการคลื่นวิทยุ SEED FM 97.5 ได้ยังไงคะ ?
คงประมาณสักช่วงปลายปีที่แล้ว คือได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ ให้เข้าไปพูดคุยแล้วก็พรีเซ้นต์ไอเดีย ผมใช้เวลาคิดไม่นานก็รีบตอบรับ เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นงานที่เกี่ยวกับเสียงเพลง ผมเป็นคนชอบเสียงเพลงอยู่แล้วและผมเคยคิดมาพอสมควรเหมือนกัน ว่าในที่สุดแล้วการที่เราได้ทำงานในสิ่งที่เรารักกับงานที่เรามีความสุข มันน่าจะเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง ถ้าเคยได้ยิน เขาเรียกว่าเพลงมันพามา แล้วเพลงมันพาไป คือตอนนี้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวผม คือมีความสุขกับการได้อยู่กับเสียงเพลงตลอดเวลา เราเคยทำงานในเบื้องหน้ามาแล้ว อันนี้ก็เหมือนกับเป็นงานเบื้องหลังอีกมุมหนึ่ง
สำหรับตำแหน่งนี้คุณต้องทำอะไรบ้าง ?
ในตำแหน่งของ station manager คือดูแลภาพรวมของคลื่น 97.5 ทั้งหมด ดูภาพทางด้านการผลิต และก็การตลาดด้วย
รวมถึงดีเจ รูปแบบรายการทุกอย่าง ?
ผมใช้คำว่าทีมดีกว่า ทั้งหมดเป็นทีมงานของซี้ด และผมคงเป็นกัปตันทีม ผมอยากเป็นเหมือนหัวหน้าวงน่ะ สมาชิกในวงก็จะมีฟังก์ชั่น เป็นเครื่องดนตรีที่ต่าง ๆ กันแล้ว หัวหน้าวงมีหน้าที่ที่จะกำกับจังหวะ กำกับโทน กำกับคีย์ ให้ทุกคนบรรเลงไปในเพลงเดียวกัน
ยากไหมคะกับการเปลี่ยนบทบาทของคนเบื้องหน้ามาสู่เบื้องหลัง ?
มันมีความยากในตัวงานเองอยู่แล้ว อืม...เรียกว่าอะไรดี ผมรู้สึกว่าผมใช้ความรักในเสียงเพลงเป็นตัวตั้ง จากนั้นผมมีความรู้สึกว่าที่เหลือเป็นเรื่องรองหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นความยาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นความหนักของงาน คือผมรู้สึกว่าในที่สุดถ้าเรามีความชอบในงานนั้น ๆ เป็นตัวตั้งแล้ว มันจะมีความสุขกับการทำงานไปเรื่อย ๆ โดยที่ไอ้เรื่องความทุ่มเท ความมีระเบียบ ความขยันอะไรพวกนี้จะตามมาเองน่ะ เพราะเราพยายามจะจัดระเบียบของเราเพื่อที่จะให้งานที่รักสำเร็จ
ความเป็นตุ้ย-ธีรภัทร์ นักร้อง นักแสดง ช่วยอะไรกับงานใหม่ไหมคะ ?
อืม...ก็มีบ้างนิดหน่อย ผมใช้ว่ามันเหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งก็แล้วกันนะฮะ ที่โอเคผมอาจจะอยู่ในมุมหนึ่งของปก ได้รู้ว่าอ๋อ...ผมทำอันนี้อยู่ มันสามารถที่จะทำให้คนสนใจได้ในช่วงแรก ว่าอ๋อ...ตุ้ยมันมาทำวิทยุแล้ว แต่ว่าในที่สุดแล้วจุดหลัก ๆ ความสำคัญมันคือคอนเท้นต์ข้างใน คือผลงานที่ทำ คือสิ่งที่เราทำ และในที่สุดคนที่ตัดสินก็คือผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในที่สุดแล้ว ให้หน้าปกสวยหรูยังไง ถ้าเนื้อหาข้างในไม่ดี ผมยอมรับการติทุก ๆ มุม แล้วก็พร้อมที่จะนำไปแก้ไข คือเปิดกว้างสำหรับทุก ๆ ความคิดเห็นเลย
แต่คนต้องจับตาดูแน่นอน มันมีผลกับการทำงานไหมคะ ?
ผมคิดว่าความกดดันมันมีทุก ๆ กระบวนการในการทำงานอยู่แล้ว ผมจะมีความรู้สึกด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีความกดดันเลย มันจะไม่ลุ้น มันจะไม่สนุก มันจะไม่ตื่นเต้น ไม่รู้นะ คือต้องมีสิ่งที่เป็นเสน่ห์ในความท้าทาย ความอยากลองเข้ามา ทำให้เราอยากที่จะทำวันนี้ให้ดีขึ้น ทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ ใช้เมื่อวานเป็นบทเรียนเพื่อให้วันนี้ดีขึ้น
เรื่องดนตรีทราบว่าตอนไปเรียนต่อต่างประเทศมีโอกาสได้ลงเรียน audio production ด้วย ตอนนั้นมีความตั้งใจอะไรเกี่ยวกับงานเพลงหรือเปล่าคะ ?
ไม่เลย ผมเรียนเพราะความเพลินอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) ครั้งแรกที่เข้าไปอยู่ในสตูดิโอ โอ้โห...นี่แหละที่ของเรา (หัวเราะ) ปุ่มเยอะไปหมดเลย แล้วทุกอย่าง ผลิตเสียงเพลง ตื่นเต้นมาก เออ...ชอบแบบนี้แหละ ขนลุกซู่ (หัวเราะ) ฟีลประมาณนั้นแหละ ผมเป็นคนชอบอะไรที่เป็นเทคโนโลยีด้วยน่ะ ตอนนั้นผมคิดหรือเปล่าว่าจะมาทำงานนี้ ไม่ได้คิดนะ เพราะมีความรู้สึกว่าโอเคเรียนเป็นหน้าที่หลักของเรา ตอนนั้นผมเรียนทางด้านบริหาร เอ็มบีเอนั่นแหละ กลับมาก็คงทำทางด้านธุรกิจ การจัดการอะไรไป ส่วนเรื่องเพลงคงเป็นงานอดิเรกไป ไม่ได้คิดอะไรมาก เลยไม่ได้กะเรียนเอาเป็นเอาตาย เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นความชอบ ซึ่งกลับกลายเป็นดี
แล้วตุ้ยที่เป็นนักร้อง นักแสดงมาได้ยังไงคะ ?
คือพอกลับมาปุ๊บผมก็จะมีโฆษณาก่อนเลย ถ้าจำได้ของแบล็กเลเบิล ซื้อช้าง แล้วก็ไล่มาเรื่อย ๆ จนเป็นละคร จากละครสักพัก ผมก็เอาเดโมไปเสนอกับพี่โอมที่แกรมมี่
เรื่องเพลงนี่ยังติดตัวอยู่ตลอด ?
ตลอดครับ (หัวเราะ) ก็แม้แต่เล่นละครยังแต่งเพลงน่ะ มีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรยากน่ะ บางคนบอกโอ้โห...กว่าจะออกเทป จริง ๆ มันไม่มีอะไรยากนะ มันก็แค่เดินไปหา ผมก็วอล์คอินสไตล์ดุ่ย ๆ ของผมน่ะ (หัวเราะ)
เป็นคนที่ทำอะไรตามความชอบของตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง ?
ใช่ ๆ ผมรู้สึกว่าการบังคับตัวเองโดยที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความชอบเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดเลยนะ เช่น ถ้าให้ผมต้องนั่งท่องกฎหมาย ผมไม่ได้บอกว่ากฎหมายไม่ดี แต่ผมแค่จูนไม่ตรงกันแค่นั้นเอง ผมท่องยังไงก็จำไม่ได้ แต่ถ้าให้ท่องเนื้อเพลง แป๊บเดียวผมจำได้แล้ว ไม่รู้สิ (ยิ้ม) ถ้าอยู่บนพื้นฐานของความชอบ ผมใช้คำว่ามันสะกิดต่อมอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันจะมีอะไรออกมาอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้
ตอนนี้คุณให้เวลากับซี้ดเป็นส่วนใหญ่หรือเปล่าคะ ?
เรื่องละครของผมจะเป็นช่วงเสาร์-อาทิตย์ แล้วก็ทำที่นี่ ที่เหลือคือเวลานอนอย่างเดียว อยู่ที่นี่ผมไม่มีความรู้สึกว่าอยู่ที่ทำงานนะ ผมมีความรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่รู้สึกว่าเป็นเลยออฟฟิศน่ะ ถึงจะเรียกว่าออฟฟิศก็ตาม
ตราบใดที่โลกใบนี้ยังมีเสียงเพลงอยู่ ก็ไม่แปลก...ถ้าเราจะเห็นผู้ชายคนนี้เดินตามโลกที่หมุนไปด้วยเสียงเพลงของเขา