"ไข่มุก รุ่งรัตน์” สาวเสียงใส หัวใจสู้ชีวิต

"ไข่มุก รุ่งรัตน์” สาวเสียงใส หัวใจสู้ชีวิต

"ไข่มุก รุ่งรัตน์” สาวเสียงใส หัวใจสู้ชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทันทีที่บทเพลงไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” เวอร์ชั่น “ไข่มุก รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช” หนึ่งในผู้ประกวด The Voice ซีซั่น 4 สิ้นเสียงลง ทุกคนที่ชมรายการในวันนั้นอยากรู้จักว่าสาวน้อยหน้าสวยคนนี้คือใคร แม้ในท้ายที่สุดเธอจะไม่ใช่ผู้คว้ารางวัลจากการประกวด แต่เรื่องราวชีวิตของเธอกลับได้รับความสนใจ ด้วยเพราะเธออายุยังน้อยแต่น้ำเสียงกลับทรงพลัง อีกทั้งใบหน้าสวยหวานมีส่วนละม้ายคล้ายซูเปอร์สตาร์ “ญาญ่า”

“ไข่มุก” แท้จริงเธอคือเด็กสาวที่ต้องมานะดิ้นรน เดินสายประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเธอแบกรับบทบาทเสาหลักของครอบครัวอย่างเต็มตัว รอยยิ้มที่ยังฉีกกว้างพร้อมแววตาสดใสของคนที่ผ่านโลกมาเพียง 20 ปีบ่งบอกว่าจะยังสู้ต่อไปบนเส้นทางสายดนตรี

Sanook! Women กับเรื่องราวของสาวน้อยหัวใจแกร่ง ถ้าคุณได้รู้จักเธอก็จะรู้ว่าสมแล้วที่เธอชื่อ “ไข่มุก”

ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กของคุณให้เราฟังหน่อย
ตั้งแต่จำความได้ ไข่มุกก็อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ในตอนนี้ โตมากับการร้องเพลงลูกทุ่ง ร้องคาราโอเกะอยู่ในห้อง ชอบร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล พอเริ่มเข้าม.ต้น ก็รับงานรำ งานร้องบ้าง ได้ทิป พอม.ปลายก็เริ่มเข้าประกวดรายการนู้น รายการนี้ หาเงินเรียนเองเป็นเงินค่าเทอม และค่าไปโรงเรียนวันละ 120 บาท ที่เหลือเก็บใส่กระปุก เก็บไว้เป็นค่าขนมแต่ละวัน มีงานรำ งานเลี้ยง งานสงกรานต์ ก็จะรับงานร้องเพลง พ่อไข่มุกเคยเป็นนักร้องจากการประกวดเหมือนกัน เป็นนักร้องหมอลำ แต่พ่อไม่เคยไปดูหนูร้องเพลงไม่ว่าจะเป็นเวทีไหน เขาไม่ค่อยสนับสนุนให้ร้องเพลง บอกให้เราเรียน แต่แม่จะเป็นคนพาไปประกวดตลอด ไปเป็นเพื่อนเวลามีงาน พอจบ ม.6 แม่บอกว่าถ้าอยากเรียนต่อให้หาที่เรียนเอง ส่งตัวเองเรียน เพราะว่าแม่ไม่มีปัญญาส่งให้เรียนตอนนั้นคือค่อนข้างเครียดค่ะ

ดูเหมือนคุณจะสนิทกับคุณแม่ คุณแม่สอนอะไรกับคุณพิเศษบ้างไหม
จริงๆแม่จะสอนตั้งแต่เด็กว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด แม่เหนื่อย เราจะเห็นแม่ทำงานทุกอย่าง ซึมซับจากแม่ว่าแม่ลำบากแค่ไหน แล้วแม่ก็สอนว่าเราเป็นผู้หญิงต้องดูแลพ่อแม่ ต้องช่วยพ่อแม่ หนูจะต้องรับผิดชอบชีวิตอีกหนึ่งชีวิตคือน้องอีกคน

ทราบว่าคุณเดินสายประกวดแต่ก็ไม่เคยได้รางวัลชนะเลิศเลย
ประกวดเวทีข้างนอกไม่เคยชนะเลยค่ะ จะมีแต่คนเดิมๆ ที่ได้ ไปรายการก็จะติดแค่รอบลึกไม่ได้เป็นที่ 1 ไม่ได้ตังค์ด้วย แต่จะมีค่ารถให้ บางงานที่เราประกวดตามเวทีตามวัดเราจะนั่งรถไป มันเปลืองมาก มีช่วงหนึ่งที่ประกวดเป็นสิบเวทีก็ไม่ได้เลย จนมาคิดว่า ณ จุดๆ หนึ่งมันไม่มีงาน เราจะอยู่รอดได้อย่างไร ถ้าเกิดเราไม่ร้องเพลงแล้วเราจะไปทำอะไร หนูคิดว่าเราไม่มีความสามารถด้านร้องเพลงเราจะทำอะไรกิน ตอนนั้นเรียนก็ยังไม่จบวุฒิก็แค่ ม.6 อย่างมากก็เป็นคนโรงงาน เป็นสาวโรงงานหรอเราจะทนได้ไหม

ชีวิตของคุณดูลำบาก คุณเคยคิดน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองบ้างไหม
จริงๆแล้วไข่มุกคิดว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครกำหนดโชคชะตาชีวิตตัวเองได้ ทุกคนจะมีวันนี้มันต้องมาตั้งแต่บรรพบุรุษที่เขาทำมาให้ ถ้าโชคดีหน่อยเขาก็ทำมาไว้ดี เกิดมาก็ดี แต่เราเกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีอะไรเลย ก็คิดแค่ว่าเขาให้เรามาหาเอง แต่ก็ไม่เป็นไรเราหาเอง เราก็ภูมิใจที่เราได้ทำ เราได้หามาได้ บางทีก็เคยคิดว่าทำไมคนอื่นสบายจัง เขาไม่เห็นต้องทำอะไรเลยแต่พ่อแม่เขามีให้ แต่ไม่อยากจะคิดน้อยใจเดี๋ยวแม่จะเสียใจ ถ้าเราน้อยใจว่าทำไมเราไม่มีแบบนี้ แบบนี้ พ่อแม่อาจจะคิดว่าเราเป็นพ่อแม่ที่แย่หรือเปล่า ทำให้ลูกไม่ได้ ลูกอยากได้นู่นอยากได้นี่ แต่เหมือนเค้าคงอยากให้เรามาหาเองไม่ได้มาพึ่งพ่อแม่ หนูเลยคิดแบบนี้ เลยไม่ท้อ

บทบาทการเป็นหัวหน้าครอบครัวของคุณมีอะไรบ้าง
ต้องส่งน้องเรียน ส่วนพี่ชายใกล้จะจบปวส. แล้วต้องออกมาก่อน เขาเรียนพวกช่าง พี่ค่อนข้างหัวแข็งทำให้แม่ปวดหัวตลอด หนูกับแม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พี่ทำ เช่น ตีกัน โดนฟันทุกปีเลย ต้องพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ออกมาเรียนเป็นสถาปนิกแล้วค่ะ พวกออกแบบ ช่างก่อสร้าง ส่วนพ่อค่อนข้างทำงานหนัก พ่อทำงานส่งขนมซึ่งมันอันตรายมาก เพราะพ่อส่งในยะลา พ่อผ่านระเบิดหลายรอบมาก ไข่มุกอยากให้พ่อเลิกทำงานมาก แต่พ่อไม่ยอมเลิก ไข่มุกจะต้องรีบมีบ้านให้เขาอยู่ก่อน เพราะบ้านหลังเล็กมันอึดอัด จะต้องหาบ้านหลังใหม่ให้เขาอยู่

ช่วงชีวิตที่คุณรู้สึกว่าลำบากที่สุดเป็นอย่างไร
ก็ไม่มีเงินเลย คือแม่ไม่มีให้ แม่พูดว่า กินของที่อยู่ในตู้เย็นไปก่อน วันนี้ไม่มีกับข้าวนะ ทอดไข่ไปก่อน ตอนนั้นลำบาก แม่ก็ไปหยิบยืมมาให้ แม่ต้องแบกรับความเครียดมากๆ ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านให้ลูกไปโรงเรียน 3 คน ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนมันเยอะมาก พอหนูมาอยู่จุดนี้หนูเหมือนเป็นผู้นำครอบครัว โอ้โห้อลังการมากค่าใช้จ่าย พ่อแม่ลำบากมากจริงๆ

คุณจัดสรรวางแผนการเงินของตัวเองอย่างไร
อย่างแรกเลยหนูจะโอนเงินเข้าไปในบัญชีแม่ให้หมด จะแบ่งประมาณว่า เราได้มา 5 โอนเข้าไปแล้ว 3 ของแม่ที่ถอนไม่ได้ แล้วจะโอนเข้าบัญชีหนู จะมีบัญชีให้น้องด้วย แต่เปิดเป็นชื่อหนูจะเก็บให้น้อง แล้วส่วนหนึ่งต้องเก็บไว้ซัพพอร์ทแม่ พาแม่กินข้าว แล้วก็จะมีเงินที่เราหยอดกระปุกในห้อง หนูเป็นคนไม่พกเงินสด หนูจะกดเงินสดไปหยอด และมีอีกส่วนหนึ่งที่เก็บตายไปเลย ที่เราไม่สามารถเอามาใช้ได้ ต้องแยกไว้เลย เราต้องจัดการเอง หลายๆ ครั้งที่ไปเจอผู้ใหญ่ก็จะสอนว่าเราต้องเก็บเงิน อย่าซื้อของที่มันฟุ่มเฟือยเพราะมันมาไว แล้วไปไว ต้องเก็บ

พอเข้ามาในวงการบันเทิงแล้ว ความคิดของไข่มุกแตกต่างไปจากเดิมไหมจากปกติเราเป็นคนดู
เข้าใจมากกว่า คิดตรงที่ว่าเขาโดนข่าวอะไรแบบนี้ มันจริงไหม แล้วเขาจะรู้สึกยังไง แล้วทำไมเขาอยู่ได้ พอเรามาอยู่ตรงนี้ปุ๊บ โอ้โห! หนูก็เข้าใจแล้วว่าวงการนี้ เรายืนอยู่ในที่สว่าง ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นอย่างไร ก็เหมือนเราทำอะไรผิด เหมือนยืนให้เขาว่า เราก็เข้าใจว่าชีวิตในวงการเป็นอย่างนี้ เข้าใจแล้ว เหมือนมีความคิดที่โตขึ้น เคยผิดพลาดอะไรไปการตอบคำถาม การวางตัว ต้องยิ้มแย้ม จะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องอดทน ก็ต้องยิ้มไว้ก่อน หลายๆ อย่าง หลายๆเหตุการณ์ทำให้เราได้รู้ว่าชีวิตดาราเป็นอย่างไร คือศิลปินมีหน้าที่มอบความสุขร้องเพลง

เคยรู้สึกเบื่อและไม่อยากอยู่ในวงการแล้วไหม
หนูเคยมีความคิดว่า ไม่อยากร้องเพลงแล้ว ไม่อยากมาอยู่จุดนี้ให้คนเขาคอมเมนท์เยอะ เพราะเราไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าเราเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมาด่าเรา แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เราต้องยอมรับทุกคอมเมนท์ของทุกคน เพราะเราอยู่ในจุดที่เราต้องเป็นต้นแบบของหลายๆคน เป็นนักร้อง คนก็จะดูเราเป็นต้นแบบ หลายๆ คนเด็กๆ ที่ชื่นชอบเรา เขาก็จะติดตาม อยากเป็นแบบเรา เราก็จะเป็นตัวอย่างที่ดี เคยคิดว่าพอได้บ้านปุ๊บจะไม่ร้องเพลงละ จะไปอยู่ที่อื่น ถึงขั้นที่จะวางแผนไปต่างประเทศแล้วก็จะเอาน้องไปเลี้ยงเลย แล้วค่อยส่งตังค์มาให้พ่อกับแม่

เหมือนว่าการร้องเพลงสำหรับไข่มุกมันไม่ใช่ความฝันจริงๆ เหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
ใช่ๆ ไข่มุกจะคิดแค่ว่าทำอย่างไรให้ครอบครัวเราสบาย เป็นวิธีการอะไรก็ได้ ให้เราร้องเพลงได้ ไข่มุกคิดว่าความสุขคือการร้องเพลง เป็นนักร้อง แต่ก็เป็นแล้ว แล้วเราจะฝันอะไรต่อไป ไม่ได้อยากจะดังกว่านี้ ไม่ได้อยากเป็นนักแสดงที่ดังหรืออะไรแบบนี้ ขอแค่เรามาอยู่จุดนี้แล้วมีงานตลอด เรามีรายได้ตลอดแล้วเลี้ยงครอบครัวได้ แบบนี้ก็พอแล้ว

เริ่มต้นในวงการได้ไม่นานก็มีกระแส "ดังแล้วหยิ่ง" รู้สึกยังไงกับตรงนี้บ้าง
รู้สึกว่าแรงมาก เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาไม่ได้รู้จักเรา ก็เข้าใจว่าต่างคนต่างความคิด คนไทยหลายๆอย่าง เรื่องอะไรที่ไม่ดี เขาจะสนใจมากกว่าเรื่องดีๆ แต่ก็ไม่ค่อยอะไรมากมาย เพราะคิดว่าให้เขามารู้จักเราดีกว่า เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นยังไง หรือว่าเราไปที่ไหนเราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่าเราทำหน้าเหนื่อยหรือหน้าตาเราเป็นยังไง ซึ่งคนอาจจะเห็นไม่เหมือนกัน แต่ไข่มุกเองคิดว่าการปฏิบัติตัวในแต่ละคอนเสิร์ตที่ไป เราจะอยู่ถ่ายรูปตลอด ถ้าไม่รีบ ไม่มีงานต่อ จะพยายามถ่ายรูปให้ครบหมดทุกคน

พูดถึงงานกู้ภัยหน่อยว่าคุณเข้าไปทำงานตรงนี้ได้อย่างไร
รู้จักกับพี่นักร้องคนหนึ่งค่ะ เขาทำกู้ภัย เป็นคนอุดรเหมือนกันเลย ตอนช่วงสงกรานต์กลับอุดร พี่เขาก็กลับเหมือนกัน เราก็เลยไปถาม แล้วพี่เขาก็พาเข้าไปทำ ทำงานที่นี่มาปีกว่าแล้วค่ะ ทำเวลาปิดเทอม แต่พอเราไม่ได้กลับไปอุดร เราก็เลยทำที่กรุงเทพอยู่จุด พหลโยธิน

ตอนนี้ไข่มุกอายุ 20 ปี วางแผนระยะสั้นเรื่องการทำงานของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง
ค่อยๆ คิดไปทีละขั้น วางแผนเอาไว้แล้ว ระยะยาวไหม ยังไม่ถึงขนาดนั้น เพราะว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่อยากจะหวังอะไรมาก โอกาสมันก็มาเรื่อยๆ แต่มีความคิดว่าเราอยากได้บ้าน ตอนอายุ 20 มันจะเป็นไปได้ไหม ต้องดูกำลังว่าเราจะไหวไหม

หน้าตาเราสวยมาตั้งแต่เด็กเลยไหม มีคนสงสัยว่าเราไปทำศัลยกรรมมา
ตอนเด็กๆ ดำมาก แต่เป็นคนมีจมูก มีคาง ตั้งแต่เด็ก พอเเริ่มโต ก็เริ่มรู้จักทาครีมบ้าง ขัดผิว เริ่มแต่งหน้าแต่งตา แต่พอมาตอนนี้คนบอกว่าหน้าเราเปลี่ยน ตอนไปแข่ง The Voice คงเพราะเราผอมลงเยอะมาก แล้วเราก็เริ่มโตใบหน้ามันจะชัดขึ้น เข้าที่มากกว่าเดิม เพราะตอนเด็กๆ จะเป็นคนมีแก้ม ผอมปุ๊บ หน้าตอบ ตาโบ๋ คนเลยบอกว่าเราทำศัลยกรรม ไข่มุกคางยาวเหมือนพ่อ พี่ชายก็ยาวมากเหมือนกัน เวลาเราพูดคนก็จะ พูดว่า…ทำก็บอกทำเถอะ ซึ่งเราก็ไม่รู้จะพูดยังไง บอกไม่ได้ทำจริงๆ บอกเรา ทำตาใหม่ จมูกใหม่ หนูอ่านที่เค้าวิจารณ์แล้ว ก็เอารูปมาเปรียบเทียบให้ดู เขาก็ยังว่าเราทำ

มีเด็กหลายๆคน ยุคนี้สนใจที่จะเข้าประกวด ไข่มุกเป็นคนที่มาเส้นทางสายประกวด มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่อยากเดินมาตรงจุดนี้
ถ้าเรามีความฝัน ต้องเริ่มทำได้แล้ว เริ่มจากการฝึก ถ้าเราไม่เก่งเราต้องฝึกมากกว่าคนอื่น แล้วคนที่เก่งอยู่แล้ว ต้องมีการวางแผน ไข่มุกคิดว่าการมาประกวดในรายการ ต้องเตรียมเพลงหลากหลายมาก หาเพลงที่เสียงเด่นๆ และคิดว่าเราออดิชั่น เขาจะสนใจเสียงเรา เลือกอะไรที่มันเข้ากับเราแล้วเราถนัดที่สุด คิดว่าอันไหนถนัดเราก็ทำ เรารักสิ่งไหนเราก็ทำ คิดอยากทำอะไร เริ่มทำเลย แล้วทำไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็อย่าหยุดทำ สักวันมันจะมาถึงฝึกอดทน แล้วก็อย่าท้อ ท้อได้แต่เราก็ต้องไปต่อ ไข่มุกเคยคิดที่จะไม่ประกวดแล้ว เบื่อมากแล้ว แต่มันทำให้เราหยุดไม่ได้ เราต้องมีความหวังใหม่ๆ ไปเรื่อยๆว่าเราอยากเป็นแบบนี้เพราะอะไร เราอยากได้ผลตอบรับมาอย่างไร เราต้องตั้งใจทำให้มันสำเร็จ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook