ธรรมะจัดสรรในวันทุกข์ใจ อุ้ย - รวิวรรณ จินดา (2)
โดยปกติแล้วอุ้ยเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความทุกข์สักเท่าไหร่ เพราะเป็นคนไม่คาดหวังอะไรจึงไม่มีเรื่องให้ผิดหวัง แต่เมื่อมาเจอความทุกข์ครั้งแรกกลับเป็นทุกข์จากความผิดหวังครั้งใหญ่ หลังจากเรียนจบอุ้ยก็ย้ายมาอยู่พัทยาและได้รู้จักกับ พี่ตุ้ม - วิรัช ซึ่งเป็นแชมป์คนแรกของสยามกลการ ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้อุ้ยอยากประกวดร้องเพลงในรายการนี้ ตอนที่ส่งใบสมัคร อุ้ยไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่ได้คิดถึงว่าจะต้องชนะคิดแค่ว่าทำแล้วมีความสุขก็ทำ แต่กลายเป็นว่า อุ้ยผ่านเข้ารอบมาเรื่อย ๆ และสุดท้ายอุ้ยก็คว้ารางวัลนักร้องยอดเยี่ยมประเภทเพลงสากลของสยามกลการมาได้
เมื่อได้รับรางวัลนี้ อุ้ยได้ไปร้องเพลงที่โรงแรมเอเชียตามสัญญาของการประกวดและได้ไปเรียนร้องเพลง เต้นรำ และทักษะทุกอย่างที่ใช้ในการเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัวแม้ตอนนั้นอุ้ยเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดมีชื่อเสียง พอเดินทางสายนี้ได้สักพักก็นึกตลอดว่าอยากทำเพลงและออกอัลบั้มบ้าง จนวันหนึ่งก็มีค่ายเพลงมาชวนไปทำเพลงพร้อมกันถึงสองค่าย แต่อุ้ยเลือกค่ายครีเอเทีย อาร์ติสต์ เป็นค่ายเพลงใหม่ที่กำลังจะเปิดของ พี่ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์
รู้จักกับความทุกข์
การมาทำงานในค่ายนี้ อุ้ยเป็นเหมือนน้องเล็กและก็ยังใหม่มากกับการทำเพลง แต่พี่ ๆ ทุกคนให้ความสำคัญและฟังความคิดเห็นของอุ้ยเสมอ ทั้ง ๆ ที่พี่ ๆ เขาก็มืออาชีพกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พี่ตุ่น – พนเทพ สุวรรณะ-บุณย์ โปรดิวเซอร์ พี่อิท – อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ และพี่จิก – ประภาส ชลศรานนท์ เขียนเนื้อเพลง อุ้ยจะได้ร่วมประชุมการทำงานทุกขั้นตอน ทำให้คุ้นเคยกับเพลง พอถึงเวลาทำงานในห้องอัดจึงใช้เวลาไม่นาน อัลบั้มแรกในชีวิตคือ รุ้งอ้วน ดังเปรี้ยงมาก จนชีวิตพลิกเลย ทุกอย่างในโลกของเราเปลี่ยนไป มีค่ายเพลงดูแล จะไปไหนมาไหนต้องมีผู้จัดการและทีมงานไปด้วยตลอดตอนแรกอุ้ยไม่รู้ว่าตัวเองดังเลย จนกระทั่งวันหนึ่งจะไปเล่นคอนเสิร์ตที่มาบุญครองอุ้ยขอผู้จัดการเดินไปซื้อของในห้าง แล้วแฟนเพลงจำได้ วิ่งมารุมจนโกลาหล
ชื่อเสียงในตอนนั้นไม่ได้ทำให้อุ้ยหลงว่าฉันดี ฉันดังเลย เพราะทุกคนในค่ายดูแลเราเหมือนน้องเล็ก ไม่ใช่ศิลปิน และต้องทำทุกอย่างเหมือนกับทีมงาน แต่ถ้าเป็นด้านชีวิตส่วนตัว อุ้ยกลับใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างสุดขีดเที่ยวแหลก อยากทำอะไรก็ทำ ไม่คิดมากเพราะโดยพื้นฐานก็เป็นคนไม่ค่อยสนใจความรู้สึกคนอื่นอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องเงินทอง แรก ๆ ก็บริหารจัดการไม่เป็น เงินที่ได้ก็เอามาเลี้ยงเพื่อนเป็นยี่สิบสามสิบคน เลี้ยงทุกวันก็ยังได้ทั้งในเวลานั้นอุ้ยยังไม่เคยได้คิดเรื่องธรรมะหรือบาปบุญคุณโทษอะไรเลย ตอนกินเหล้าก็คิดว่าเราก็กินเหล้าอยู่ที่บ้าน ผิดศีลยังไงเหรอ ไม่เห็นผิดเลย
อุ้ยมีความสุขกับการได้ทำงานที่รัก ได้ทำงานร่วมกับค่ายเพลงที่อบอุ่น ได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง จนไม่คิดว่าเวลาแห่งความสุขนี้อาจอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์แรกที่เจอและก็ทำให้อุ้ยเฮิร์ตหนักมากคือ การที่ค่ายครีเอเทีย อาร์ติสต์กำลังจะปิดตัว ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนบ้านแตก เพราะทำเพลงกับค่ายนี้มาสองอัลบั้มผูกพันกับทุกคนที่นี่มาก แม้ต่อมาจะมีค่ายเพลงใหญ่มาชวนไปอยู่ด้วย แต่อุ้ยปฏิเสธไป และเลือกไปใช้ชีวิตที่อเมริกา
การไปอยู่ไกลจากสภาพแวดล้อมเดิมทำให้จิตใจดีขึ้น อุ้ยเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจและเรียนร้องเพลงไปด้วย จนเมื่อมีแฟนก็คิดว่าจะแต่งงานและลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่นจึงตั้งใจกลับมารับแม่และน้องไปอยู่ด้วยกันแต่การกลับมาครั้งนี้ก็ทำให้พบจุดเปลี่ยนอีกครั้งเพราะได้เจอกับเพื่อน ๆ กลุ่มบัตเตอร์ฟลายซึ่งเป็นกลุ่มของคนในวงการดนตรี “จะบ้าเหรออุ้ย จะเลิกร้องเพลงได้ยังไง”
ทุกคนรุมว่าอุ้ยเมื่อรู้ว่าอุ้ยจะย้ายไปอยู่เมืองนอกถาวร อุ้ยจึงบอกทุกคนไปว่า “ถ้าเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทำเพลงให้ อุ้ยก็จะกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง” หลังจากวันนั้นเพื่อน ๆ พี่ ๆจึงช่วยกันทำเพลงให้ จนอุ้ยได้ออกอัลบั้มที่ 3 เมื่อได้กลับมาทำเพลง ทำให้อุ้ยต้องเลื่อนกำหนดกลับอเมริกา ตอนแรกบอกแฟนว่าขอเวลาทำเพลงสักสองเดือน แต่หลังจากนั้นต้องมีโปรโมตอัลบั้มและเล่นคอนเสิร์ต จึงต้องขอเลื่อนกำหนดกลับออกไปเรื่อย ๆ จนเป็นปี สุดท้ายแฟนก็โทร.มาว่า
เขารู้ว่าอุ้ยไม่มีทางเลิกร้องเพลงแน่ ๆ ซึ่งเขาเข้าใจ ถ้าอุ้ยทำแล้วสบายใจก็ขอให้ทำต่อและขอให้ต่างคนต่างอยู่ไปก่อน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาคุยกันใหม่
ตอนนั้นอุ้ยคิดแค่ว่า เลิกเลยเหรอขอเวลาแค่นี้เอง แต่ถ้าวันนี้มองย้อนไปก็เห็นชัดเลยว่า อุ้ยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของแฟนเลย คิดแต่ว่าฉันอยากทำงานเพลง แล้วก็ไม่บอกเขาตรง ๆ ด้วยว่าจะขอเวลานานเท่าไหร่ ปล่อยให้เขารอไปเรื่อย ๆ จนเขารอไม่ไหว ต้องมาพูดกับเราเอง นี่แหละทำให้คิดได้ว่า ที่ผ่านมานี้เราอยู่กับใครก็ลำบากเพราะไม่ได้คิดถึงจิตใจของคนอื่น
ตำแหน่งใหญ่โตที่มาพร้อมกับความทุกข์
หลังจากกลับมาทำเพลงสักพัก แต่ไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างนัก ช่วงนั้นมีคนชวนไปเป็นดีเจที่คลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง ซึ่งอุ้ยก็ตกปากรับคำ พอได้มาเป็นดีเจก็เริ่มได้รับมอบหมายงานมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอุ้ยก็ทุ่มเททำงานอย่างหนักและทำผลงานได้ดีมาตลอด ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นผู้บริหารในที่สุด
ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ชีวิตก็เปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัว อุ้ยเป็นคนทุ่มเททำงานมาก ไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด ทำงานวันละ 20 ชั่วโมงไม่ค่อยได้เจอหน้าครอบครัว ทั้งยังเครียดมากเพราะแยกตัวออกจากงานไม่ได้ พองานไม่ได้ดั่งใจ อุ้ยก็รู้สึกผิดหวัง
และเป็นทุกข์ แล้วก็จะจมดิ่งกับความทุกข์อย่างนั้นสามวันสามคืน แต่เวลามีความสุขก็สุขทะลุโลก เรียกว่าสุดโต่งมากทั้งสองด้านไม่มีตรงกลาง ไม่มีความสมดุล และแม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงแล้วก็มีเหตุผลให้ตัวเองตลอดว่า ที่ฉันเป็นอย่างนี้เพราะมีความเป็นศิลปินสูง บอกตรง ๆ เลยว่า ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะจัดการตัวเองอย่างไรมากกว่า
ส่วนเรื่องเหวี่ยงวีนไม่ต้องห่วงเลยขึ้นชื่อมาก ลูกน้องกลัวกันหมด จนเขาไม่ได้สนุกกับการทำงานกับเราเลย จะเสนองานก็กลัว ๆ กล้า ๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเตือนเรา นับวันก็ยิ่งเป็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นอุ้ยใช้ชีวิตแบบปล่อยให้กิเลสนำพาไป อยากได้อะไรก็ซื้อ เพราะเห็นว่าตัวเองมีรายได้มาก ทั้งทำงานมาเหนื่อย ต้องให้รางวัลตัวเอง ของแบรนด์เนมหรือชุดราคาเป็นหมื่นก็ซื้อ โดยให้เหตุผลว่า เป็นผู้บริหารก็ต้องใช้ของแบบนี้แหละ ปล่อยให้กิเลสทุกตัวพอกใจเรามากขึ้นทุกวัน จนวันหนึ่งโลกนี้คงไม่อยากให้เราเป็นอย่างนี้อีกแล้วจึงให้บทเรียนสำคัญกับชีวิต
วันหนึ่งอุ้ยทะเลาะกับเจ้านาย จนคิดว่า เราก็เก่งนี่นา ไม่ต้องอยู่ที่นี่ก็ได้ ออกไปทำบริษัทเองดีกว่า แล้วก็ลาออกมาทำบริษัทของตัวเอง ถ้าถามว่าเราเก่งไหม ก็เก่งค่ะเพราะบริหารบริษัทให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วแต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ หาเงินทุนมาหมุนไม่ทัน จนต้องนำเช็คไปแลกเป็นเงินกับนายทุนรายหนึ่ง ซึ่งต่อมาเขาก็เสนอว่า “หนี้ที่ติดไว้ ขอแลกเป็นหุ้นบริษัทแล้วกัน” อุ้ยก็ไม่ได้คิดอะไร แค่อยากให้งานเดินต่อไปจึงตกลง จนสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าบริษัทกลายเป็นของเขาไปเลย
ความผิดหวังนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเพราะนอกจากจะเสียบริษัทไปอย่างไม่รู้ตัวแล้ว ยังเป็นหนี้อีกจำนวนมาก พอเริ่มหาทางออก ขายคอนโด ขายรถยนต์ หาเงินมาใช้หนี้ ยังไม่ทันแก้ปัญหานี้จบ ก็มาถูกฟ้องล้มละลาย จากนั้นก็มีความทุกข์อื่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง ทั้งคุณแม่ป่วยเข้าไอซียูหลายครั้ง ต่อมาน้ำก็ท่วมบ้านอีก ทุกอย่างมาพร้อมกันแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิดในเวลานั้นมีแต่คำถามที่ว่า ทำไมต้องเป็นเราทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราด้วย
จนในที่สุดก็นึกถึงคำที่ว่า “ธรรมะเยียวยาหัวใจได้” แต่กว่าจะได้พบความสงบที่แท้จริง กลับต้องรอเวลาที่ “ธรรมะจัดสรร” ให้ได้มาเจอครูบาอาจารย์ผู้ชี้ทางสว่างแก่ชีวิต
(โปรดติดตามตอนที่ 3 )
Secret BOX เมื่อเรามีความสุข ความทุกข์ก็มานั่งแอบข้างหลังแล้ว
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ