บทพิสูจน์ของความดื้อ : ตุ๊กกี้-สุดารัตน์ บุตรพรหม
3 ปีที่แล้ว คนที่ดูรายการ ชิงร้อยชิงล้าน แล้วเห็นผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวในช่วงละคร คนที่ออกมาทำหน้าเหวี่ยงๆ แล้วก็เดินเข้าฉากไป อาจไม่นึกว่าช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นเธอจะกลายเป็นหนึ่งในตลกหญิงดาวรุ่ง ที่ชื่อเสียงพุ่งแรงเหลือเกิน
"ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับโชคชะตา แต่เป็นเรื่องความดื้อล้วนๆ ที่ทำ ตุ๊กกี้-สุดารัตน์ บุตรพรหม มีวันแบบนี้ได้"
ดื้อตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลย-นี่เธอย้อนความหลังด้วยเสียงดังฟังชัด
ด้วยตั้งแต่เล็กแม้จะรู้ว่าพ่อซึ่งหากินด้วยการขับรถเมล์ วางแผนมาแต่ไหนให้พี่ชายเรียนช่างกลเพื่อเวลารถเสียจะได้ไม่ต้องเข้าอู่ซ่อม ให้น้องสาวเรียนหมอจะได้คอยดูแลพ่อแม่ตอนแก่เฒ่า และให้เธอเรียนครูจะได้มีคนนับหน้าถือตา แต่พอใกล้จะจบชั้นประถมแล้วไปเจอครูฝึกสอนที่เรียนนาฏศิลป์มา เธอกลับติดใจ อยากไปเรียนมั่ง
"แต่พ่อก็บอกจะมีอะไรนอกจากเต้นกินรำกิน"
ฟังแล้วตุ๊กกี้ไม่พูดอะไร หากพอถึงวันที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ที่กาฬสินธุ์เปิดรับสมัคร เธอแอบหนีออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 นั่งรถจากอุดรธานีบ้านเกิดไปสมัคร
แล้วก็เจอกฎ กติกา ที่ทำให้หนักใจ แต่ไม่ท้อ
"ก็...ในใบสมัครบอกต้องหน้าตาดี บุคลิกดี ซึ่งหนูไม่มั่นใจเลย ตรงนั้นมีหนูคนเดียวที่ผมสั้นหน้าม้า คนอื่นเขาผมยาว ลูกคุณครู แล้วเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วยังที่บอกว่าต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง"
ซึ่งถึงไม่มีทั้งคู่ แต่หนูก็กรอกไป ดีมากๆ ทุกข้อ
ครั้นพอถึงตอนสอบ ขณะที่คนอื่นแต่งตัวสวยงาม รำฉุยฉาย, อัญเชิญพระขวัญ และต่างๆ นานา ตุ๊กกี้ที่ไม่เคยโดนครูจิ้มให้รำมาก่อน เลยตัดสินใจร้องเพลง มอเตอร์ไซค์นุ่งสั้น ของ สุนารี ราชสีมา ให้กรรมการคุมสอบฟัง
"เขาก็คงขำๆ แหละ" นี่คือสิ่งที่เธอคาดเดา
"แต่เขาเห็นเด็กอยากเรียน ก็ให้เรียน"
"หนูเลยเป็นคนแรกของนาฏศิลป์ที่ขี้เหร่"
"การันตี"
พอเข้าไปเรียนและถึงเวลาแยกนักเรียนให้เรียนเป็นพระ เป็นนาง ตัวนาง และเป็นตัวละครอื่นๆ "ครูเขาก็ซุบซิบกัน" เธอบอก
"คือ คนแขนยาว หน้ายาว เขาจะให้เป็นตัวพระ หน้าสั้น กลม แขนสั้น ก็เป็นตัวนาง พอถึงหนูครูเขาก็ขำ แล้วถามหนูจะเป็นลิงหรือเป็นยักษ์ ในใจหนูก็นี่มันบทผู้ชายไม่ใช่เหรอ ก็คิดว่าครูหยอกเล่น ก็ว่าเป็นลิงแล้วกันครู"
สุดท้ายเธอก็กลายเป็น "ลิง" ที่ตัวเล็กที่สุดในรุ่น
...
ทางฝั่งครอบครัว ตุ๊กกี้ว่าแม้สุดท้ายพ่อที่ไม่เห็นด้วยจะยอมให้ได้เรียน แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนับสนุน 3 เดือนแรกของการเรียนปีแรกในวิทยาลัย เธอไม่ได้สตางค์จากพ่อสักบาท ต้องเอาตัวรอดด้วยการขายเครื่องสำอาง ขายสร้อยเงิน ที่เมื่อรวมกำไรกับเงินที่แม่แอบให้ ก็พออยู่รอดได้
"พ่อเขาหวังให้เราเหนื่อยจนเรียนไม่ไหวเอง แต่หนูไหว อยู่ได้ แค่อย่าตามเพื่อน เขาฮิตอะไรไม่สน ไม่ฟุ้งเฟ้อ มีอะไรก็ใส่ รองเท้ามีคู่หนึ่งไม่เคยเปลี่ยน ใส่จนพัง เสื้อผ้าก็เหมือนกัน"
ตลอด 3 ปีของการเรียนนาฏศิลป์ ขณะที่เพื่อนคนอื่นได้รับเบี้ยเลี้ยงจากการรับแสดงงานข้างนอกเป็นประจำ ตุ๊กกี้บอกว่าเธอนั้นไม่เคยได้รับเลยสักบาท เนื่องจากไม่เคยได้รับเลือก เหตุผลคงเป็นเพราะตัวเตี้ยเกินไป เข้าพวกกับใครไม่ได้
"หนูก็คิดนะ ว่าแล้วจะยังไง"
สุดท้ายจึงตัดสินใจถามครูว่าเรียนนาฏศิลป์จบแล้ว ไปเป็นอะไรได้บ้าง
คำตอบมี 2 อย่าง คือ ไม่เป็นครู ก็เป็นศิลปิน
"แล้วอย่างหนูจะเป็นอะไร"
พอถามครูก็นิ่ง
"หนูเลยบอกจะไม่เรียนแล้วแหละ เพราะไม่ได้ออกงานเลย คนที่ไปออกงานก็เรียนทันเราเพราะครูก็ติวให้ เงินเราก็ไม่ได้ ผลงานก็ไม่มี แล้วคนที่ออกงานบ่อยๆ ก็จะเก่งกว่า เพราะมีประสบการณ์เยอะกว่า"
โชคดีที่คุยเรื่องนี้กับ โอโม่ รุ่นน้องที่มักจะทำหน้าที่พิธีกรประจำวิทยาลัย ซึ่งพอรู้ปั๊บเขาก็ชวนให้รับงานเป็นพิธีกรคู่ แล้วก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี จนกลายเป็นว่างานไหน ไม่มีพิธีกรคู่ แปลว่างานนั้นเล็ก
"กลายเป็นว่าหนูมาถูกทางแล้ว" เธอบอกพลางยิ้ม
ด้วยเหตุนี้พอจะขึ้นชั้น ม.4 แล้วพ่อขอให้ออกไปเรียนสายสามัญเธอจึงไม่ยอม พร้อมกันนั้นยังตัดสินใจเรียนต่อสายการแสดงที่ ม.มหาสารคาม หลังเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 ที่นี่ก็ไปเจอกับ "ครูกบ-พีรพงศ์ เสนไสย"
"เขาเป็นคนผลักดัน และบอกให้หนูรู้ว่ารูปพรรณสันฐานคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เวลามีการแสดงอะไร ก็ให้หนูเด่นตลอด แล้วหนูยังได้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแลกเปลี่ยนการแสดงใน 7 ประเทศ ทำให้หนูรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาไม่เกี่ยวแล้ว"
หลังเรียนจบเธอเลือกที่จะไปทำงานที่ ภูเก็ตแฟนตาซี ด้วยเหตุผลข้อเดียวว่า "ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ เขาจะเลือกหน้าตาและสัดส่วน แต่ที่ภูเก็ตเขาเล่นไกลๆ ดูแล้วเหมือนกันหมด หนูก็ทำไป"
ช่วงนั้นเธอรับเงินเดือน 30,000 บาท และทุกบาทนั้นส่งให้ทางบ้านหมด เธอเองยังชีพด้วยเงินเบี้ยเลี้ยง สมบัติที่มีก็แค่เสื้อผ้าไม่เกิน 5 ชุด ไว้ใส่ตอนกลับไปเยี่ยมบ้านที่อุดรฯ นอกจากนั้นก็คือชุดนอนและชุดทำงาน
ชีวิตช่วงนั้นแม้จะโอเคตามคำบอก หากลึกๆ แล้วเธอยังหวังอยู่เสมอว่าจะได้ไปทำงานที่บริษัทเวิร์คพอยท์
"อยากทำ สมัครมาตั้งแต่เรียนปี 4 แล้ว สมัครเป็นผู้กำกับเวทีอยู่ 5 รอบแต่ไม่เคยได้"
กระทั่งวันนั้น วันที่กลับไปเยี่ยมบ้านแล้วเห็นเวิร์คพอยท์ประกาศรับคนดูแลเสื้อผ้า ก็สมัครทันที แล้วก็ถูกเรียกสัมภาษณ์ในวันนั้น
"วันที่ไปมี 9 คน เป็นคนที่เรียนด้วยกันหมดเลย พอเห็นหนูก็รู้ว่าต้องแพ้แน่ๆ เพราะเป็นคนเรียนเก่งมากๆ เป็นศิษย์รักอาจารย์ แล้วหนูก็ใส่แค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วก็มีแค่อัลบั้มรูป มีรูปมาให้ดูว่าหนูทำอะไรมาบ้าง เพราะหนูคิดว่าคนเราน่ะพูดแต่ปากเขาคงไม่เชื่อ เวลาทำอะไรเลยเก็บเป็นพอร์ทไว้ แล้วช่วงที่ผู้ใหญ่สัมภาษณ์มันเป็นดวงหนูด้วย เพราะผู้บริหาร 5 คน เพิ่งไปเที่ยวภูเก็ตแฟนตาซี พอสัมภาษณ์เขาก็เปิดอัลบั้ม ดูแล้วก็บอกว่าตรงนี้สนุกมากเลย ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตหนู อารมณ์ประมาณคนเพิ่งไปดูโชว์มา พูดถึงคนที่โหนสลิงโปรยดอกไม้ข้ามหัว หนูก็ อ๋อ หนูเองค่ะ กลายเป็นเรื่องโชคดีไป"
ในการทำงานนั้น ตุ๊กกี้ว่า หน้าที่เธอคือเวียนไปดูแลเสื้อผ้าให้รายการต่างๆ แลกกับเงิน 7,500 บาท บวกโอทีแล้วเดือนหนึ่งไม่น่าเกิน 10,000
แต่อยากทำ-อยากทำ ฉะนั้นเงินจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
ปัญหาอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรจะสามารถส่งเงินกลับบ้านได้เท่าเดิม
"หนูก็สมัครบัตรเครดิตแล้วก็รูดๆ ส่งไป"
แล้วก็ทำงานต่ออย่างมีความสุข กระทั่งวันหนึ่งก็ถึงคิว ชิงร้อยชิงล้าน
"อาทิตย์ที่ 2 เอง ก็ไปรีดผ้าตามปกติ แล้วคนที่เล่นเป็นเอ็กซ์ตร้า (ตัวประกอบ) ไม่มา เขาก็หาว่าใครไม่ซ้อมแต่เล่นได้บ้าง หนูไม่มีความอายอยู่แล้ว พอพี่หม่ำถามหนูก็บอกเด็กนาฏศิลป์พอนับ 5..4..3.. ไม่มีอาย เขาก็บอกว่าแต่ต้องแต่งหน้าทุเรศนะ งั้นเดี๋ยวหนูกลับมา"
หายไปพักเดียว เธอก็กลับมาพร้อมใบหน้าที่แต่งเองเสร็จสรรพ
"พอเห็นพี่หม่ำบอกหน้านี้ถ้าคนไม่ขำให้กระทืบ ไม่ต้องพูดอะไร แค่ออกมาก็พอ"
แล้วคนก็ฮากระจายอย่างที่หม่ำทำนายจริงๆ
"เสร็จจากการแสดงวันนั้นพี่หม่ำก็บอกรับรองหน้านี้เกิด"
แล้วก็จริงอีกแหละ
เพราะถึงวันนี้เธอมีงานเข้ามาชน จนไม่มีวันหยุด
"หนูเชื่อเรื่องดวง เรื่องจังหวะชีวิตของคนเรา ตอนอยู่ภูเก็ตเหมือนรอขาขึ้น พอมาอยู่เวิร์คพอยท์ หนูบวกๆ หมด หนี้ 150,000 ที่รูดการ์ดส่งให้ทางบ้านก็เคลียร์หมด แล้วตอนนี้ก็มีเงินเดือนละเกือบ 150,000"
มีบ้านหลังใหม่ที่สร้างให้พ่อแม่ มีตุ๊กตาบลายธ์ไว้เป็นของสะสมอีก 23 ตัว "สมัยเด็กๆ ไม่มีเลยไง ได้แต่ทำขนมครก หยอดน้ำโคลนลงไป พอโตก็อยากมีเหมือนคนอื่นก็ให้รางวัลตัวเองเถอะ" เธอบอก
ชีวิตของคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องของโชคชะตา แต่ของเธอมันเริ่มด้วยการดื้อแล้วสู้ไปอย่างไม่ลดละจนสำเร็จ
"เราจึงได้เห็นหน้าเธอในจอทีวีในฐานะอย่างตลกดาวรุ่งอย่างทุกวันนี้"