ชายในฝัน รถไฟ ความรัก และ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์
ด้วยความแรงของ "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" ที่รายได้ก้าวเข้าสู่ 100 ล้านบาทในระยะเวลาอันสั้น จนทำลายสถิติหนังไทยหลายๆ เรื่อง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ มีส่วน
คิดดูในทีเซอร์ภาพยนตร์ ฉากที่ เหมยลี่ (คริส หอวัง) เปิดประตูบ้านแล้วเจอ ลุง (เคน) ยืนอยู่แบบโคตะระเท่
เท่านั้นแหละ คนดูที่เป็นบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ (แท้และไม่แท้) พากัน กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด แบบไม่ได้นัดหมาย
"ผมยังกรี๊ดตัวเองเลย" พระเอกพ่อลูกหนึ่งหัวเราะเสียงดัง เมื่อเราเล่าปฏิกิริยาของคนดูให้ฟัง
จริงๆ เขาว่าน่าจะยกความดีความชอบให้คนตัดตัวอย่างหนังมากกว่า ที่ตัดออกมาได้จังหวะดีๆ เลยดูหล่อเป็นพิเศษ ทั้งที่ตัวจริงไม่ขนาดนั้น (แหม คนหล่อถ่อมตัว)
หลายคนอาจจะเคยเห็นเขาในละคร ที่นิ่งๆ หล่อๆ แต่ตัวจริงเขาเป็นคนสนุกสนาน หัวเราะเสียงดัง ยิ้มง่าย แถมชอบแซวคนอื่นเป็นที่หนึ่ง อันนี้ คริส หอวัง คอนเฟิร์มมา
"ไม่ๆ" เคนปฏิเสธพลางยิ้ม
"คริสน่ะเขาชอบมาถามผม บางทีเขาใส่ขาสั้น แล้วบ่น ขามันใหญ่ ผมก็จะบอกว่า ไม่ใหญ่หรอก ดีแล้ว เขาก็นึกว่าผมไม่จริงใจ ก็จะให้ผมทำยังไงล่ะ ถ้าเกิดบอกว่า เฮ้ย! ใหญ่มาก ก็จะกลายเป็นทำไมพี่เคนเป็นคนอย่างนี้"
ฟังแล้วเหมือนจะโอเค ถ้าเขาไม่หัวเราะหึๆ สำทับตอนท้าย
แต่แหม...เชื่อเถอะว่าถึงจะเป็นอย่างนี้สาวๆ ค่อนประเทศก็ยังยกให้เขาเป็น "ชายในฝัน" อยู่ดีนั่นแหละ
"คงจะเป็นด้วยตัวบทที่เราได้รับ ผมชอบได้เล่นเป็นคนดีไง ที่ผ่านมาบทจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นหน่อย เลยทำให้คนมองภาพเป็นแบบนั้น คือคนเขาไม่ได้มองที่ตัวเรา"
ถ้ายังไม่เชื่อ เขาท้าให้ลองไปถาม หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์ ดู ว่าเขาเหมือน "ผู้ชายในฝัน" จริงๆ หรือเปล่า
"ซึ่งคุณหน่อยคงบอกไม่ใช่" เคนเดา
"เราเป็นแค่คนคนหนึ่ง เป็นคนปกติ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย"
เผลอๆ ยังมีแคะขี้มูกในที่สาธารณะ
"ผมชอบลืมตัวประจำกับอะไรแบบนี้" ว่าแล้วก็หัวเราะร่วน
เคนบอกว่า ถึงตอนนี้เขาทำงานมา 10 ปีแล้ว ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องของการสะสม
"ไม่ใช่ว่าผมมาถึงทุกคนชื่นชอบเลย อยู่มาตั้ง 5-6 ปี กว่าคนจะแบบ เฮ้ย! เคน-ธีรเดช คือมันค่อยๆ พัฒนา มันก็มีเวลาของมันมา อีกอย่างผมก็โตขึ้น ไม่ใช่เด็กๆ"
ดังนั้น อาการ "หลง" รึว่า "ปลื้ม" กับความชื่นชมจากสาวๆ ในปัจจุบันนี้จึงไม่มี
"แต่ที่ผ่านมามันก็มีแหละ ที่รู้สึกว่าหลงตัวเองไปบ้าง แต่พอถึงวันนี้ผมก็ไม่ได้อะไรมาก ก็ทำงาน" เขาบอก
เขายังเล่าถึงเหตุผลของการ "ค่อยๆ พัฒนา" ด้วยว่าเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะแท้ๆ
"มันเหมือนกับเราต้องการการยอมรับจากคนอื่น เพราะตอนนั้นเหมือนคนจะด่าผมอยู่คนเดียว ละครแต่ละเรื่องก็ อะไรเนี่ย พระเอกเล่นแข็ง ห่วยจังเลย เราก็รู้สึกสิ ว่าเราเป็นจุดด้อยของงานนะ เลยพยายาม เพื่อให้คนดูแล้วรู้สึกว่ามันก็โอเคนี่หว่า"
ซึ่งถึงตอนนี้คงไม่มีใครเถียงแล้วว่า ผลงานของเขาเกินคำว่า "โอเคนี่หว่า" ไปไกลโขแล้ว
กับชีวิตในตอนนี้ เคนบอกว่าเขามีความสุขอย่างดีมาก เพราะสำหรับเขา หน่อย-บุษกรคือคนที่ใช่
"ผมรู้ว่าชีวิตคู่ของผมมันต้องมีปัญหา มีอุปสรรค แต่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ผ่านไปให้ได้"
"เราต้องอยู่คู่กันไปให้ได้ตลอดชีวิตของเรา"
ฟังอย่างนี้แล้ว อดถามไม่ได้ว่า รู้ได้ไงว่า คนไหนที่ใช่
เคนยิ้ม ก่อนสารภาพ จริงๆ ก็ไม่รู้ เหมือนทุกๆ คนนั่นแหละ
"แต่ความรู้สึกนำทางมากกว่า สมมติว่าเกิดเรื่องขึ้น แต่ความรู้สึกบอกว่าอยากมีโอกาสกับเขา ก็ต้องแก้และผ่านปัญหานี้ไปด้วยกัน แต่ถ้าลึกๆ แล้วความรู้สึกบอกว่าเลิกเถอะ ก็คงต้องเลิก"
"เพราะเวลาดีกันมันไม่รู้หรอก ต้องไปพิสูจน์ตอนที่มีปัญหา ว่าสุดท้ายจะพยุงกันไปได้ไหม คนที่อยู่ข้างๆ ได้ให้กำลังใจ และช่วยให้เราทั้งคู่ก้าวต่อไปได้หรือเปล่า"
เคนยังว่า ตอนนี้เขามีแผนอยากทำอะไรมากมาย ไม่ว่างานถ่ายภาพที่รัก งานเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ที่ชอบ งานผู้กำกับละครที่สนใจ แต่ทุกอย่างไม่รีบ
ไม่รีบเหมือนอีกความฝันในใจ คือการนั่งรถไฟสายไซบีเรียท่องเที่ยว
"ผมเพิ่งมารู้ตอนใกล้ๆ จะแต่งงานว่ามีรถไฟเส้นทางนี้ ตอนนั้นไปญี่ปุ่นกับคุณหน่อย ได้ดูรายการโทรทัศน์ เห็นเขานั่งรถไฟแล้วถ่ายเป็นสารคดีบนนั้นเห็นคนหลายชาติใช้ชีวิตกินนอนอยู่ บนรถร่วมกัน แล้ววิวก็มหัศจรรย์มากเลย แต่พอถามคุณหน่อยไปมั้ย เขาไม่ไป ไม่ใช่แนว แต่ก็คิดนะว่า ถ้ามีโอกาสพอลูกโต ผมอาจจะไปกับเขา หิ้วกล้องไปกันสองคนพ่อลูก"
ถึงวันนี้เมื่อไม่จำเป็นต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปหาเธอที่ไหน ก็เหลือแต่รถไฟสายไซบีเรียนี่แหละที่เขาจะใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นผู้โดยสารในสักวัน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร สุดสัปดาห์